วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สื่อมวลชนไทย เลือกข้าง - อยู่กับประชาชนและสิ่งแวดล้อมที่ดี อดอยากปากแห้ง

Thaipost 30-Aug.-2010
ผ่านมากว่า 230 วันแล้วกับการพยายามแก้ปัญหาการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง นับตั้งแต่วันที่ ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งระงับกิจการชั่วคราวที่อยู่ในมาบตาพุดทั้ง 76 โครงการ เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2552
ถึงวันนี้เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์รำไร หลังจากการประชุมของ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2553 ได้มีมติเห็นด้วยกับร่างประกาศประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรง โดย ร่างประกาศประเภทกิจการรุนแรงที่บอร์ดสิ่งแวดล้อมเห็นด้วยเบื้องต้นและมีความชัดเจนจำนวน 11 กิจการ จากทั้งหมด 18 กิจการ ตามที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุด ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เสนอมา และมี อีก 2 กิจการ ที่ต้องให้คณะผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณาแล้วนำมาเสนอใหม่เป็นรายโครงการ ส่วน อีก 5 โครงการ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า รอดพ้นจากการเป็นกิจการรุนแรง แต่ อีก 3 กิจการ ที่เหลือ แม้ว่าจะไม่ถูกจัดเป็นประเภทกิจการรุนแรง แต่ก็ทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หลังจากบอร์ดสิ่งแวดล้อมมีมติออกมาเช่นนี้ ถือเป็นการ "สร้างความหวัง" ให้กับภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี เพราะเท่ากับว่าการลงทุนต่างๆ ที่ยังค้างคาอยู่น่าจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะ 76 โครงการที่ติดอยู่ในมาบตาพุด เพราะสามารถนำเอาร่างมติผลการประชุมของบอร์ดสิ่งแวดล้อมที่เคาะประเภทกิจการรุนแรงออกมาแล้ว ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงต่อศาลปกครองกลางในการขอ "ปลดล็อก" คำสั่งคุ้มครองระงับกิจการชั่วคราว แต่ดูเหมือนปัญหามาบตาพุดจะยังไม่ยอมจบลงง่ายๆ เพราะทางเครือข่ายเอ็นจีโอที่นำโดย นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ก็มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับ 11 ลิสต์กิจการรุนแรงที่ออกมา เนื่องจากเห็นว่าหลายกิจการที่กำหนดเอื้อต่อภาคอุตสาหกรรมมากเกินไป เพราะไม่มีการกำหนดในเรื่องของพื้นที่ และบางโครงการก็มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น โดยขู่ว่าจะมีการนัดชุมนุมเครือข่ายทั่วประเทศ เช่นเดียวกับ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่เป็นแกนนำในการยื่นฟ้องศาลปกครองคดีมาบตาพุด ก็เตรียมยื่นฟ้องศาลฯ ให้ยกเลิกมติการกำหนด 11 กิจการรุนแรง เพราะถือว่าเป็นการบิดเบือนเสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนที่มีมติและเห็นชอบ 18 กิจการตามที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ เสนอ โดยเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้อัยการที่เป็นตัวแทน 8 หน่วยงานรัฐที่ถูกฟ้อง นำร่างมติประกาศประเภทกิจการรุนแรงตามที่บอร์ดสิ่งแวดล้อมเห็นชอบ 11 กิจการ ยื่นเป็นข้อมูลใหม่ให้ศาลปกครองกลางพิจารณาไต่สวนเพื่อสืบโจทย์และพยาน โดยศาลได้นัดพิจารณาคดีอีกครั้งในวันที่ 2 ก.ย.2553 นี้ แต่เชื่อว่าไม่ว่าคำตัดสินใจของศาลจะออกมาลักษณะใด ทั้งผู้ถูกฟ้องและผู้ฟ้อง ก็จะต้องใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์แน่ ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งและคำวินิจฉัยออกมาแล้ว 5 ครั้ง ให้โครงการดำเนินการต่อได้ 40 โครงการ แบ่งเป็น 1.ศาลปกครองยกเว้นคำสั่งคุ้มครอง 11 โครงการ 2.ศาลปกครองวินิจฉัยว่าได้ใบอนุญาตก่อนรัฐธรรมนูญ 1 โครงการ 3.ศาลปกครองมีคำสั่งให้หน่วยงานอนุมัติตรวจสอบโครงการที่ไม่เข้าข่ายอีไอเอ 14 โครงการ 4.ศาลปกครองมีคำสั่งผ่อนผันให้ก่อสร้างและทดสอบเครื่องจักร 9 โครงการ 5.ศาลปกครองมีคำสั่งผ่อนผันให้ก่อสร้างและทดสอบเครื่องจักรเพิ่มเติม 5 โครงการ สำหรับโครงการที่เหลืออีก 36 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการที่ผู้ประกอบการชะลอการดำเนินการ 7 โครงการ 2.โครงการที่ยื่นขอผ่อนผันและเตรียมหาทางช่วยเหลือ 29 โครงการ โดยเนื้อหาของตุลาการที่ได้แถลงความเห็นทางคดีเมื่อวันที่ 26 ส.ค. มีเนื้อหาที่ระบุว่าโครงการทั้งหมดยังไม่เข้าข่ายประเภทโครงการที่มีความรุนแรง จึงสมควรยกฟ้อง ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวเสมือนเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ด้านภาคเอกชนโดย นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ก็แสดงความโล่งใจในระดับหนึ่ง และเชื่อมั่นว่าผลการตัดสินของศาลปกครองกลางในวันที่ 2 ก.ย.นี้ น่าจะออกมาในแนวทางที่เป็นบวก เพราะมั่นใจว่าที่ผ่านมาภาคเอกชนได้ดูแลทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สุขภาพและชุมชนเต็มที่ และไม่ว่าโครงการจะเข้าข่ายกิจการรุนแรงหรือไม่ ก็ยินดีที่จะทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) แต่ก็ต้องยอมรับว่า การทำรายงานเอชไอเอยังเป็นของใหม่สำหรับเอกชน ระยะแรกอาจจะติดขัดบ้าง แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะที่ผ่านมาภาคเอกชนก็รอมานานเกือบปีแล้ว "ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถฟ้องร้องได้หากเห็นว่ากิจการใดมีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เชื่อว่าภาพรวมเอกชนคงไม่ต้องการปัญหาตามมา แม้ไม่เข้าข่ายกิจการรุนแรงก็คงจะทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพประกอบในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ส่วนกิจการใดที่คลุมเคลืออาจจะต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัย ซึ่งเท่าที่พิจารณากิจการที่จะเข้าข่ายรุนแรงมีไม่มาก" นายพยุงศักดิ์กล่าว อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลปกครองกลางมีคำตัดสินออกมาชัดเจนแล้ว ภาคเอกชนโดย ส.อ.ท.จะทำหนังสือชี้แจงไปยังเครือข่ายต่างประเทศเพื่อชี้แจงเรื่องความชัดเจนในการแก้ปัญหามาบตาพุด รวมทั้งสถานการณ์ปัญหาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศแก่นักลงทุนต่างชาติด้วย เพราะที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหามาบตาพุดเป็นพิเศษ เพราะมองว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในระยะกลางและยาว แต่ที่มีการลงทุนอยู่แล้วก็คงถอดไม่ได้ แต่ถ้าไม่จบก็อาจต้องไปขยายการลงทุนที่อื่นแทนไทย ขณะที่ นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า หลังจากที่มีการประกาศประเภทกิจการรุนแรงออกมา ก็จะทำให้ภาพการลงทุนไทยชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ยิ้มออกมาได้ระดับหนึ่ง แต่คงต้องรออีกระยะให้ภาพชัดเจนกว่านี้ แต่โดยรวมหากปัญหามาบตาพุดชัดเจน ก็จะทำให้การลงทุนของไทยน่าจะมีศักยภาพเพิ่มขึ้น "ตอนนี้คงต้องรอคำพิจารณาจากศาลปกครองกลางออกมาก่อนว่าจะออกมาแนวทางใด ซึ่งหากมีความชัดเจนก็คาดว่าน่าจะมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอการตัดสินใจ 2-3 โครงการ รวมมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยได้ ซึ่งในส่วนของบีโอไอต่อจากนี้ก็จะนำความชัดเจนที่ได้ไปชี้แจงให้นักลงทุนต่างชาติได้" นางอรรชกากล่าว นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมคงต้องรอคำตัดสินของศาลปกครองกลางเกี่ยวกับคดีมาบตาพุดออกมาก่อนว่าจะออกมาอย่างไร โดยได้มีการเตรียมพร้อมเป็นการภายในกับในกระทรวงพอสมควรถึงแนวทางปฏิบัติหลังวันที่ 2 ก.ย. ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงเตรียมศึกษาข้อกฎหมายที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคำพิพากษาไว้แล้ว โดยกระทรวงได้เตรียมดำเนินการ 2 เรื่อง คือ เตรียมยกเลิกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องประเภทกิจการรุนแรง 8 กิจการทันทีเมื่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกประกาศประเภทกิจการรุนแรง 11 กิจการ ที่ต้องรอการลงราชกิจจานุเบกษาก่อน คาดว่าจะใช้เวลาภายในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จะเร่งตรวจสอบว่าโครงการที่ได้ใบอนุญาตหลังรัฐธรรมนูญมีกี่โครงการที่เข้าข่ายกิจการรุนแรง "ความชัดเจนของโครงการมาบตาพุดจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นการลงทุน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมที่จะเดินทางไปโรดโชว์ที่จีนวันที่ 1-5 ก.ย.53 และจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นวันที่ 14-18 ก.ย.นี้ จะถือโอกาสนี้ชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหามาบตาพุดให้นักลงทุนต่างชาติรับทราบ" นายชัยวุฒิกล่าว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลของการตัดสินคดีของศาลปกครองฯ จะออกมาในแนวทางใด สิ่งที่ภาครัฐคาดหวังก็คือ หากออกมาเป็นบวก โครงการที่ไม่เข้าข่ายกิจการรุนแรงและทำเอชไอเอและอีไอเอแล้ว สามารถเดินหน้าได้ทันที ส่วนโครงการที่เข้าข่ายกิจการรุนแรง ก็รอการจัดทำเฮชไอเอและอีไอเอเสร็จตามเงื่อนไข ก็จะดำเนินการกิจการได้เช่นกัน แต่ถ้าผลที่ออกมาเป็นลบ ทุกอย่างกลับไปเริ่มใหม่ รัฐบาลก็คงมีงานใหญ่ เพราะต้องหาสารพัดวิธีมามัดใจและสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนเพื่อรักษาการลงทุนในไทยไม่ให้ถอยหลังเข้าคลอง และเชื่อว่าผู้ฟ้องร้องคงยังไม่เห็นด้วยกับประเภทกิจการรุนแรงที่ออกมา และคงไม่มีนักลงทุนชาติไหนที่จะทนอยู่ความไม่ชัดเจนแบบนี้ได้แน่.
มาบตาพุด : อย่าให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
ข่าวเนชั่น - 30 ส.ค. 53

การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)

ออกประกาศกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 11 ประเภท ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และ สุขภาพ (เอชไอเอ) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นอีกเมื่อเครือข่ายชุมชนภาคตะวันออกที่มี นายสุทธิ อัชฌาศัย เป็นแกนนำ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวและมีแผนจะออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล เช่นเดียวกับสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนที่มี ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นหัวหอกที่มีแผนจะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกประกาศกิจการรุนแรงดังกล่าว

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า กลุ่มมวลชนและกลุ่มเอ็นจีโอ กำลังต้องการให้รัฐบาลทำอะไรมากไปกว่านี้ เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหาการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดก็มาจากการฟ้องศาลปกครองของสมาคมต่อต้านสภาวะแวดล้อมที่ระบุว่า ภาครัฐไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 จนเป็นที่มาของคำสั่งระงับโครงการลงทุน จำนวน 76 โครงการ ในมาบตาพุด และกลายเป็นปมประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาพรวมของประเทศไปโดยปริยาย เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจกับการลงทุนในไทย

สิ่งที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและกลุ่มเครือข่ายชุมชนฯ ต้องการ คือ การปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ไม่ใช่เหรอ ?? ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 4ฝ่าย ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคเอกชน เข้าร่วมเป็นกรรมการ รวมถึงภาคประชาชน และเอ็นจีโอ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรง การตั้งองค์กรอิสระชั่วคราว

แต่เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ นำหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรงที่คณะกรรมการ 4 ฝ่าย เสนอมาพิจารณาและประกาศออกเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา กลับไม่เป็นที่พอใจของภาคประชาชนและเอ็นจีโอ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็อยู่ในกรรมการ 4 ฝ่าย ที่เป็นผู้เสนอหลักเกณฑ์กิจการรุนแรงเสนอบอร์ดสิ่งแวดล้อม สุดท้ายแม้กรรมการบางคนจะอ้างว่า 11 ประเภทกิจการที่ออกมาแตกต่างจากที่เสนอไป แต่โดยหลักใหญ่ๆ ก็ยังคงเป็นกิจการที่กรรมการ 4 ฝ่าย เสนออยู่นั่นเอง

ที่สำคัญเรื่องนี้ภาคเอกชน ก็เกือบจะยอมศิโรราบพร้อมปฏิบัติตามสิ่งที่ภาคประชาชนและเอ็นจีโอเรียกร้อง แม้ว่าบางเรื่องจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการอยู่แล้วก็ตาม เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และพร้อมจะดำเนินการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) เพิ่มเติมเข้าไปตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งๆ ที่เป็นความผิดของภาครัฐที่ไม่ยอมออกประกาศหลักเกณฑ์ตามมาตรา 67 ทั้งเรื่อง เอชไอเอ และ องค์กรอิสระ

"เมื่อเขาทำผิด ภาครัฐก็ลงโทษทั้งปรับ ถอนใบอนุญาต ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อภาคธุรกิจยอมทำในสิ่งที่มวลชนและเอ็นจีโอเรียกร้องทุกอย่างแล้ว ก็ควรจะอะลุ่มอล่วย ให้เขาเดินหน้าธุรกิจต่อได้ เพียงแต่ต้องตรวจสอบได้ เพื่อให้โรงงานอยู่ร่วมกับชุมชนให้ได้ ไม่ใช่เอะอะไร ก็นำมวลชนมาชุมนุมก่อม็อบกดดันรัฐบาล ทั้งๆ ที่กฎหมายก็มีอยู่...เราไม่ควรปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย"

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4240 ประชาชาติธุรกิจ ข้อยุติมาบตาพุด แค่บทเรียนที่ว่างเปล่า ? บทบรรณาธิการ ดูเหมือนข้อยุติกรณีปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่ยืดเยื้อมานานนับปี อาจเข้าสู่โค้งสุดท้ายที่จะได้ข้อสรุปเสียที หลังจากล่าสุด ศาลปกครองกลางนัดฟังคำพิพากษาสั่งคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและพวกรวม 43 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติและพวก กรณีกระทำการมิชอบในการออกใบอนุญาตให้ 76 โครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉาง และบริเวณใกล้เคียงใน จ.ระยอง ในวันที่ 2 ก.ย. 53 เวลา 13.30 น. และก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ด สวล.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็เพิ่งจะมีมติอนุมัติร่างกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โดยเห็นชอบให้ 11 กิจการเป็นกิจการรุนแรง จากที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุดได้เสนอมาจำนวน 18 กิจการ อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากปฏิกิริยาของทั้งฝ่ายเอกชน ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน ทั้งที่ได้รับผลกระทบโครงการต่าง ๆ ชะงักงันไปในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กิจการ เข้าข่าย 11 ประเภทที่ถือเป็นกิจการอันส่งผลกระทบรุนแรง และในฝ่ายของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ต่างก็ยังไม่พอใจกับข้อสรุปที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่หมดภารกิจที่จะต้องตอบคำถาม สร้างความชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นในประเด็นที่มีการพิจารณาปรับลดประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบรุนแรงจาก 18 ประเภทให้เหลือเพียง 11 ประเภทนั้น มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างโปร่งใสแล้วหรือไม่ มีการโอนอ่อนตามข้อเรียกร้องหรือกลุ่มผลประโยชน์ดังที่มีการตั้งข้อสังเกตหรือเปล่า ขณะเดียวกันในด้านของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ จะมีคำชี้แจงหรือรับประกันได้เต็มปาก หรือไม่ว่า ปัญหาข้อขัดแย้งและภาวะคลุมเครือชะงักงันของการลงทุนจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต ทั้งในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่จะเกิดโครงการลงทุนอุตสาหกรรมที่อาจเข้าข่าย "กิจการรุนแรง" ถึงที่สุดแล้วประเด็นหลักมิได้ขึ้นอยู่กับว่า จะมีการประนี ประนอมให้เกิดการลงทุนได้มากขึ้นเท่าไร เป็นมูลค่าสูงขนาดไหน เช่นเดียวกันกับที่ทางออกหรือข้อยุติย่อมไม่อาจตอบ สนองทุกข้อเสนอหรือความต้องการทั้งหมดของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ประเด็นหลักของการหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อที่ จะก้าวออกมาให้พ้นปัญหาความขัดแย้งและภาวะชะงักงันนั้น ทุกฝ่ายน่าจะยึดหลักยอมรับกฎกติกาที่หาข้อยุติสำหรับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกสิ่งพร้อมที่จะเดินหน้าได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากท้ายที่สุดแม้จะมีมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมออกมาแล้ว หรือมีคำพิพากษาศาลปกครองกลางออกมาในต้นเดือนกันยายนแล้ว แต่ละฝ่ายยังยืนกรานที่จะต่อสู้ ฟ้องร้องคดีต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ก็คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะออกมาพูดได้เต็มปากว่า ปัญหากรณีมาบตาพุดยุติแล้ว และคงหวังได้ยากที่จะเห็นการลงทุนภาคอุตสาหกรรมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างยึดเอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้ง

'อภิสิทธิ์'วอนสมาคมโลกร้อนอย่าเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลปัญหามาบตาพุด ยันรัฐบาลให้ความสำคัญมาตราฐานสิ่งแวดล้อมสูงกว่าหลายประเทศ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาคมโลกร้อนเตรียมออกมาเคลื่อนไหว เนื่องจากไม่พอใจการประกาศกิจการรุนแรงของรัฐบาล ไม่ครอบคลุมว่า เรื่องนี้ต้องชี้แจงกัน ซึ่งจริงๆแล้วตนได้ให้คนในรัฐบาลติดต่อประสานงานกับภาคประชาชนตลอดเวลา ตรงไหนที่ยังมีปัญหาติดใจก็สามารถที่จะสอบถามกันมาได้ - เสี่ยงทรุดพังระเบิด แบบโรงแยกก๊าซ ใหม่ ปตท. นี่นะมาตรฐานสากล

เมื่อถามว่าคิดว่าจะสามรถขยับประกาศเพิ่มที่ที่เรียกร้องได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนที่มีการยื่นเพิ่มเติมเข้ามาตนได้มอบให้ทางคณะอนุกรรมการที่เป็นผู้ชำนาญการดูอยู่ นั่นคือส่วนที่กรรมการ 4 ฝ่ายเขาไม่ได้เห็นด้วย เพราะส่วนที่กรรมการ 4 ฝ่ายเห็นด้วยนั้นได้มีการพิจาณาไปหมดแล้ว

เมื่อถามว่าหากมวลชนใช้วิธีการกดดันอีกครั้งรัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่น่าจะทำอย่างนั้น เพราะรัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก มาตรการหลายอย่างที่เราไปดำเนินการที่มาบตาพุดขณะนี้ เราเอาจริง เอาจัง แต่สิ่งสำคัญกว่าเรื่องของกิจการคือมาช่วยกันติดตามการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไปมากกว่า เวลานี้มาตรฐานเรื่องการทำงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรฐานในเรื่องนี้ของเราตนเองกล้ายืนยันได้เลยว่าสูงกว่าหลายต่อหลายประเทศ ปัญหามีอย่างเดียวคือมีมาตรการออกมาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามและการบังคับใช้กฎหมายยังย่อหย่อนและระบบของการทำงานเวลาเกิดเหตุเป็นปัญหา มีเรื่องเดียวที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมคือความสามารถของพื้นที่ในการรองรับเรื่องของมลพิษในภาพรวม ซึ่งตรงนี้กำลังดำเนินการอยู่ คือทุกโครงการดำเนินการอยู่ มีการผลักดันและประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ เราได้มีการเข้มงวดกวดขันและอนุมัติงบประมาณไปเรื่องการป้องกันและการบรรเทาผลกระทบพร้อมทั้งทำระบบข้อมูล ระบบเตือนภัย

เมื่อถามว่ามีการประเมินหรือไม่ มาตรฐานที่สูงขึ้นจะกระทบกับการลงทุนที่เข้ามามากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอยืนยันว่า มาตรฐานสูงไม่กระทบมาก ภาคธุรกิจสิ่งที่เขาต้องการมากสุดคือความแน่นอนมากกว่า เมื่อเขารู้ว่ากติกาเป็นอย่างไร เขาก็ตัดสินใจ เพราะเห็นว่า มาตรฐานเราควรเป็นอย่างไร ทางเราเองก็กำหนดตามอย่างนั้น ทั้งนี้ผลกระทบที่มีต่อการลงทุนที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน คือเขาได้ใบอนุญาตไปแล้วแต่ปรากฏว่า ศาลตัดสินว่า ใบอนุญาตใช้ไม่ได้ อย่างนี้มันกระทบกับการวางแผนของเขา แต่ต่อจากนี้ไปเขารู้แล้วว่า เขาจะมาลงทุนกิจการนี้ เขามีขั้นตอนนานขึ้น อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นคงไม่เป็นปัญหา เพราะเขาจะสามารถทำงานได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น