วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ในหลวง ทรงเน้นย้ำให้ศาลปกครอง ... ทุกคนปฏิบัติตามคำที่ได้ปฏิญาณไว้

ในหลวง ให้ศาลปกครองสูงสุดเฝ้าฯ ถวายสัตย์

วันจันทร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะตุลาการศาลปกครอง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ วันที่ 20 ธันวาคม 2553 เวลา 18.03 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครอสูงสุด นำคณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้น ตำแหน่งตุลาการศาลปกครองกลาง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ นายสุชาติ เวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท แก่คณะศาลปกครอง โดยทรงเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติตามคำที่ได้ปฏิญาณไว้ ที่จะมีส่วนสำคัญนำพาให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง

Share

วิดีโอที่เกี่ยวข้อง»

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เปิดคำอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองระยอง กรณีไม่รับคำฟ้อง โรงงาน ปตท. จำนวนมากในมาบตาพุด ไม่ตอกเสาเข็ม

ไม่มีใครเชื่อว่า บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานของชาติ แบบ ปตท. จะก่อสร้างโรงงานอย่างมักง่าย - ประมาท เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานสารเคมีอันตรายและก๊าซไวไฟ จนหลีกเลี่ยงการตอกเสาเข็มทั้งหมด อ้างว่า ดินแข็งแรงมาก สูงกว่าโรงงานที่อยู่ติดกัน 3 เท่า จึงไม่จำเป็นตอกเสาเข็มทั้งหมด หลายโครงการอยู่พื้นที่ หมู่บ้าน "หนองแฟบ" ชื่อบอกลักษณะภูมิศาสตร์ว่าเป็นหนองน้ำ แม้จะมีการถมดินแล้ว เชื่อหรือว่า หอ กลั่น หอสูง โครงสร้าง ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องตอกเสาเข็ม อ้างว่า มีมาตรฐานสากล มีฝรั่งเกาหลีมีควบคุมงาน มาก่อสร้าง
ภาพนี้-ให้ดูว่า คลังก๊าซขนาดใหญ่อยู่ติดตลาดติดชุมชุมชน และเหตุที่เกิดในที่ต่างๆมันเคยเกิดมาแล้ว จากความมักง่ายประมาทที่มีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บหลายพันหลายหมื่นคน
โรงแยกก๊าซ ที่ 6 และโรงแยกก๊าซอีเทน ที่ไม่ได้ตอกเสาเข็มทั้งหมด มีคลังก๊าซขนาด 4,200 คันรถ อยู่ระหว่างกลาง ถามว่าเสี่ยงโรงไหนจุดไหน บอกไม่ได้ เพราะมันเสี่ยงไปทั้งหมด ที่อื่นทำไมดินจึงแข็งแรงน้อยกว่า ปตท. ถึง 3 เท่า ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่มาก โรงแยกก๊าซ ปตท. ถูกน้ำท่วม แต่ไม่ตอกเสาเข็ม ขณะที่โรงงานบนเนินที่อยู่ใกล้กันตอกเสาเข็มจำนวนมาก การอ้างว่า ถมดินจนแข็งแรงมาก ไม่ต่างกับโครงการบ้านจัดสรรทั่วไป ที่ถมดินแล้วทรุดแตกร้าวจำนวนมาก ภาพชัดๆ อีกภาพที่อธิบายว่า การรับน้ำหนักของดินเป็นเช่นไร วิธีของ ปตท. สามารถสร้างถังน้ำ สูงเท่าตึก 8 ชั้น โดยไม่ต้องตอกเสาเข็ม ก้อจะไม่ทรุดไม่พัง - คุณเชื่อหรือไม่ ...
ในเมื่อโรงงาน เหล่านี้ ต้องใช้งานนานถึง 25-30 ปี ท่ามกลางสภาวะอากาศและธรรมชาติ ที่หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ วางความเสี่ยงทั้งหมดไว้บนดิน ที่แข็งหรืออ่อนขึ้นอยู่กับฝนตกมากหรือน้อย การทรุดพังเพียงเล็กน้อย จะทำให้ท่อจำนวนมาก ที่ต่อโยงใยกับส่วนอื่นแตกรั่ว ถ้าเป็นก๊าซไวไฟ สารเคมีอันตราย การควบคุมจะยากอย่างยิ่งยวด เหตุที่เกิดในอเมริกา ในจีน ที่ต้องใช้เวลาเยียวยยา แก้ไขเป็นเวลานานนั้น
ถึงวันนี้ ... ยังหาหน่วยงานใดมาตรวจสอบไม่ได้ ทุกฝ่ายอ้างว่า อนุมัติถูกต้องตามกฎหมาย ความแข็งแรง ปลอดภัย ยังไม่มีการไต่สวนตรวจสอบ ... อ้างเพียงว่า ปตท. ชี้แจง ว่าทุกอย่างแข็งแรงปลอดภัยดี และที่ปล่อยให้ระเบิดกลางทะเล ติมอร์ ตรงนั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก!
กดลิงค์ด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดคำอุทธรณ์ ในรูปแบบ Flipbook กดเม้าท์ตรงที่ท่านอ่านไม่ได้ มันจะขยายใหญ่ ให้ดูกันได้แบบชัดเจน - ว่าคดีนี้ จะหมดอายุความแล้วทิ้งให้ผู้คนประชาชนเสี่ยงตาย ทั้งที่ไปดองอยู่ในขบวนการศาลปกครอง เกือบครึ่งปี ถ้ามีการตรวจสอบ-เสริมสร้างความแข็งแรง ทุกอย่างน่าจะเสร็จไปแล้ว ... นายกอภิสิทธิ์ รับเรื่องร้องเรียนนี้ กับมือถึง 2 ครั้ง ... เกิดเหตุวันไหน จะตอบชาวโลกได้อย่างไร นี่หรือรัฐบาลที่บอกว่า ประชาชนต้องมาก่อน
คำอุทธรณ์
เอกสารประกอบ
หรือ

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นายกและรัฐบาลโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี พร้อมน้อมรับพระราชดำรัส ใส่เกล้าใส่กระหม่อม - กลุ่มฯขอให้เร่งรัดตรวจสอบโรงแยกก๊าซ ใหม่ ของ ปตท. ก่อสร้างไม่แข็งแรง ผ่าน Facebook

กลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด พร้อมน้อมนำกระแสพระราชดำรัส ทวงถาม นายกอภิสิทธิ์ และรัฐบาล รวมทั้งส่งตรงให้ผู้รับผิดชอบ เรื่องการแก้ปัญหามาบตาพุดผ่าน facebook แม้จะรับรู้ว่า ที่ผ่านมาได้มีความพยายามลักษณะนี้เดียวกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กลับไม่มีการนำพาใส่ใจ จนมีการนำเรื่องไปยื่นกับ มือนายกอีกครั้งขณะมาติดตามงานที่มาบตาพุด ที่ศูนย์เวชศาสตร์เขตร้อน เวลา 10.30 น. 20 พ.ย.2553
นายกอภิสิทธิ์ พูดเสียงดัง ว่าจะน้อมนำ พระราชดำรัส มาใส่เกล้าใส่กระหม่อม เรื่องไม่ประมาท จะรอบคอบ ดำเนินการอย่างมีสติ - แต่การจะดันทุรังเปิดใช้โรงแยกก๊าซที่ 6 ของ ปตท. ถือว่า พูดกับทำ ไม่ตรงกัน และสวนทางกับพระราชดำรัสอย่างชัดเจน เพราะได้รับหนังสือร้องเรียน ถึงความไม่แข็งแรง ของโรงแยกก๊าซใหม่ ซ้ำ สองรอบ ห่างกัน 11 เดือน http://airfresh-society.blogspot.com/2010/10/blog-post.html
หน้าแรกของ Facebook คุณกอร์ปศักดิ์ เวลาเช้า 8.26 น. วันจันทร์ ที่ 7 ธันวาคม 2553 จะอ้างไม่รู้ไม่เห็นไม่รับผิดชอบ ไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนตอบมาใน Facebook ว่าหมดหน้าที่แล้ว แต่กลับมาทำหน้าที่ใหม่ มา...มาบตาพุดแล้ว 2 รอบ ยังไม่เห็นมีการดำเนินการอย่างไร ทั้ง คุณสาย สว.ระยอง คุณสาธิต สส.ระยอง รับรู้และรับปากพร้อมกันที่ โรงแรม สตาร์ แต่กลับไม่ดำเนินการ อย่างไร รวมทั้ง ประธาน คณะกรรมมาธิการต่างๆ ของ สว. ในการที่ผู้ประสานกลุ่มฯ เข้าพบให้ข้อมูล ก่อน ประธานคณะต่างๆ จะขอเข้าพบ นายอานันท์ ปันยารชุน ที่ บ้านพิษณุโลก
นายกฯ ยัน ครม.น้อมนำพระราชดำรัสในหลวง ยันความไม่ประมาทเป็นสำคัญ เชื่อปฏิบัติได้บ้านเมืองเป็นสุข - ยังไม่รู้ “ปู่จิ้น” ชงขึ้นเงินเดือน อบต.แนะคำนึงถึงบุคลากรรัฐหน่วยอื่นที่เชื่อมโยงกัน ต้องดูค่าตอบแทนสอดคล้องหรือไม่ ถามความเหมาะสมอยู่ตรงไหน เตือนให้รอบคอบ หวั่นร้องเรียนงูกินหาง
วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาพระราม 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ว่า รัฐบาลโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีน้อมใส่เกล้าใส่กระหม่อม และตนคิดว่ากระแสพระราชดำรัสที่ทรงเน้นย้ำในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ประมาทเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และหากทุกคนได้น้อมนำไปปฏิบัติ ตนเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองของเราสงบสุข ซึ่งก็เป็นพระประสงค์อยู่แล้ว

“ในหลวง” ทรงย้ำให้คนไทย รู้หน้าที่ ไม่ประมาท ขาดสติ ทำชาติเสื่อมสลาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2553 ประชาชนส่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้อง ทรงย้ำคนไทยมีสติรู้ตัวไม่ประมาท เข้าใจ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพราะหากประมาท ขาดสติยั้งคิด ทำให้เกิดความผิดพลาด เสียหาย เป็นอันตราย ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบ อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองและประเทศชาติได้
วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2553 เวลา 10 นาฬิกา 30 นาที ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับรถไฟฟ้าลงจากอาคารที่ชั้น 16 พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาใน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เพื่อทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน พระบรมหาราชวัง
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราช ข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เข้าสู่ถนนราชดำเนินใน โดยทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่เฝ้าฯ รับเสด็จ ตลอดเส้นทางจนถึงประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาจากอาคารที่ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประชาชนซึ่งสวมเสื้อสีชมพู พร้อมโบกธงสะบัดจำนวนมากที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ได้เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เพื่อถวายพระพรไปตลอดเส้นทางอย่างกึกก้อง ด้วยความปลาบปลื้มปีติที่ได้ชื่นชมพระบารมี จนกระทั่งถึงพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย
กระทั่งเวลา 10 นาฬิกา 57 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับรถไฟฟ้าเข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งมีบรรดาองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ฯลฯ เฝ้าฯ รอรับเสด็จฯอยู่ด้านใน เพื่อเตรียมกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยเนื่องในโอกาสวันมหามงคล
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงยืนเฝ้าฯ หน้าแถวพระบรมวงศ์ ด้านซ้ายพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ขณะที่ม่านหน้าที่ประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ หน้าแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตรปิดอยู่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร พร้อมแล้วเจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตรมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออกยังหน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ แล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ตามลำดับ
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาหารทหารสูงสุด พร้อมด้วยทหารทุกเหล่าทัพถวายคำสัตย์ปฏิญาณ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ ความว่า
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ขอขอบพระทัยและขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างร่วมมือร่วมมือร่วมแรงใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่าง และนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะการกระทำโดยประมาท ขาดความรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด เสียหายในหน้าที่และการกระทำโดยขาดสติยั้งคิด ขาดเหตุผล เป็นเหตุให้เกิดหลงลืมความกลัว ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองตลอดทั้งประเทศชาติได้ จึงขอให้ทุกคน ได้สังวรณ์ระวังให้มากและประคับประคองกาย ใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจตามเหตุผลของตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพื่อความมั่นคงและเพื่อประโยชน์สุขอันยั่งยืนของชาติไทยเรา ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ปราศจากภัย และอำนวยสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลให้สำเร็จผลขึ้นแก่ท่านทั่วหน้ากัน”
เวลา 11 นาฬิกา 20 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ประทับรถไฟฟ้าพระที่นั่ง ออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ กลับมายังโรงพยาบาลศิริราช ตามเส้นทางเดิม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ณ หน้าศาลาสหทัยสมาคม และหน้าศาลาลูกขุน ในพระบรมมหาราชเนืองแน่นไปด้วยประชานหลากหลายจังหวัดที่พร้อมใจกันใส่เสื้อสีชมพูมาเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง นางอรุณรัตน์ สุวรรณพิศ อายุ 55 ปี อาชีพแม่บ้าน ชาวบ้านเขตบางกอกน้อย ที่ได้ชักชวนเพื่อนบ้านเดินทางมาจับจองที่นั่งหน้าศาลาลูกขุนในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างใกล้ชิด กล่าวความรู้สึกของตัวเองว่า รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นความโชคดีของพสกนิกรชาวไทยทุกคนที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงรัก และเป็นห่วงในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนอย่างถ้วนหน้า นางจำปี ประไพมาลิน ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งได้เดินทางจาก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้ เพื่อที่จะมาเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดย นางจำปี กล่าวว่าพอเธอทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกมหาสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค.เธอจึงรีบเดินทางออกจากบ้าน เพื่อมาให้ทันเวลา พร้อมกล่าวความรู้สึกทั้งน้ำตา ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก พระองค์ทรงทำให้ชาวเขาอย่างพวกเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่ต้องระหกระเหินเป็นคนเร่ร่อนอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ เวลา 10.00 น.ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 12 กองพันนำโดย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ในฐานะผู้บังคับกองผสมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณครั้งนี้ ได้เคลื่อนขบวนจากหน้าประตูพระบรมมหาราชวัง ผ่านประตูวิเศษไชยศรี และเลี้ยวซ้ายที่ด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม เพื่อไปตั้งแถวเฝ้ารับเสด็จฯ ณ สนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคมอย่างพร้อมเพรียง

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไฟไหม้ฟ้า - ภาพที่คนในที่อื่นๆ นอกพื้นที่ มาบตาพุด ไม่เคยสัมผ้ส

ไฟไหม้ฟ้า - ภาพที่คนนอกมาบตาพุด ไม่เคยสัมผัสทางอารมณ์ ถ้ายิ่งมีเสียงรถหวอของดับเพลิง มีเสียงหวอ ของรถฉุกเฉิน สำทับ อะไรเกิดขึ้น กำลังเกิดอะไรขึ้น นี่ล่ะครับบบรรยากาศยามดึกดื่น ที่ผู้คนในที่อื่นๆ ไม่เคยสัมผัส - ถามว่า คนมาบตาพุดกลัวมั้ย!!! หลายคนบอกว่า ปลงแล้ว อะไรจะเกิดก้อเกิด ตายพร้อมๆ กัน เพื่อนร่วมตายเยอะ ตายไม่เหงา

การทดสอบ ระบบของโรงแยกก๊าซที่ 6 ปตท. ที่ไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด อ้างว่าดินแข็งถึงแข็งมาก ... เลข 6 คงจะไม่หกคะเมนตีลังกา สร้างหายนะให้ผู้คน นะ!!!

เพื่อนชุมชน - ความจริงใจแค่เปลือก แล้ว...หลอกลวง

ลองดู ... ว่าคนมาบตาพุดอีกคนหนึ่งคิดอย่างไรเห็นอย่างไร กับเพื่อนชุมชน - ถ้ามีใครมาเสแสร้งทำตัวสนิทสนมเป็นเพื่อน แต่ไม่มีความจริงใจ มีศัตรูร้ายกาจ สัก 10 สัก 100 ยังดีเสียกว่า

กรุงเทพฯ--9 ก.ย.--ปตท.

ดร.วีระพงษ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิด “ศูนย์เพื่อนชุมชน” ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง โดยมีที่ปรึกษากิติมศักดิ์ กลุ่มเพื่อนชุมชน ได้แก่ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด ดร. มอลลี่ เพยฟาง ชาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด และบริษัทร่วมทุนระหว่างเอสซีจี กับบริษัท ดาว เคมิคอล มร. เอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโกลว์ วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานกลุ่มเพื่อนชุมชน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท เคมิคอล และ ชลณัฐ ญาณารณพ รองประธานกลุ่มเพื่อนชุมชน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ร่วมในพิธีเปิด

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ยื่นหนังสือร้องเรียน เรื่องโรงแยกก๊าซใหม่ ปตท. เสี่ยงก่อหายนะภัย กับ นายกอภิสิทธิ์ อีกครั้ง 20 พ.ย. 53

ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2552 ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งโครงสร้างพิเศษสำคัญในโครงการต่างๆ ของ ปตท. จำนวนมาก พบว่า “ละเลยเรื่องความแข็งแรงมั่นคงในส่วนงานฐานราก” ทั้งที่ก่อสร้างบนพื้นที่ปรับถมดินใหม่ และหลายโครงการอยู่บริเวณหมู่บ้านหนองแฟบ ชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ว่าเป็นหนองน้ำ แต่ในการก่อสร้างกลับไม่ตอกเสาเข็ม อ้างว่า ถมดินบดอัดแน่นดีแล้ว ทดสอบดินแล้ว เป็นการสมยอมของภาครัฐ ที่เอื้อต่อภาคอุตสาหกรรม ที่เร่งรัดเร่งรีบ เพื่อแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ และเพื่อประโยชน์ในส่วนของตน จนมีการเลียนแบบ ไปยังโครงการอื่นๆ มากมาย และในเวลาไม่กี่ปี จะมี หลายร้อย หลายพัน โรงงาน ทำแบบเดียวกันกับ ปตท. สร้างโรงงาน โดยปราศจากความแข็งแรงมั่นคง ถมที่เสร็จขุดหล่อฐานรากโดยไม่ต้องตอกเสาเข็ม โดยอ้างว่า ดินถมแข็งแรงมาก อ้างมีการทดสอบดินแล้ว เพราะทำให้โครงการเสร็จเร็วขึ้น 6-8 เดือน แต่กลับทิ้งความเสี่ยงให้ผู้คนประชาชน พนักงานในโรงงาน โรงงานอื่นๆ สภาวะแวดล้อม ไปจนตลอดอายุการใช้งานโรงงาน 25-30 ปี สรรพสิ่งตั้งมั่นคงอยู่ได้หรือล้มลง ด้วยเพราะมีเหตุมีปัจจัย ตามกฎสูงสุดของธรรมชาติ หรือ อิทัปปัจจยตา

แม้อ้างว่าได้รับการอนุมัติก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก่อสร้างไม่แข็งแรง-ไม่ตรงกับการออกแบบ ทั้งที่ทุกหน่วยงานภาครัฐรับรู้ แต่คงจะดันทุรังไม่ใส่ใจ โดยมีชีวิตของผู้คนประชาชนจำนวนมากเป็นเดิมพันเพราะโรงแยกก๊าซ ปตท. มีคลังก๊าซแอลพีจีขนาด 4,200 คันรถ ทรุดพังไฟไหม้ระเบิดลุกลามควบคุมไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตผู้คนประชาชน และประเทศไทย

การเร่งรัดจัดหาเครื่องมือ-สัญญาณเตือนภัย-แนวกันชน แก้ปัญหาปลายเหตุ ระงับเหตุไม่ได้

ภาวนา ... ไม่ให้มีเหตุภัย ถ้าเกิดเหตุสลดเมื่อไหร่ ท่านย่อมหนีความรับผิดชอบไม่ได้ อย่างแน่นอน ... และเจโทร(กรุงเทพ) ซึ่งรับรู้เรื่องนี้ ยังหวังอย่างสูงว่าท่านจะดำเนินการอย่างเหมาะสม แต่ ... ไม่ทำอะไร ไม่มีการตรวจสอบ-ติดตามแต่อย่างใด (นอกจาก ปตท. ชี้แจงว่า แข็งแรงดี?)

ธรรมชาติหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ ใยจึงปล่อยความมักง่ายภาคอุตสาหกรรม ทิ้งความเสี่ยง ให้ผู้คนประชาชน-ประเทศชาติ ที่ฝากไว้กับความแข็งอ่อนของดินที่ทั้งเปียกทั้งแห้งสลับกัน

“วันนี้ ... ท่านยังสามารถสั่งให้มีขบวนการตรวจสอบ-ติดตาม-เสริมความแข็งแรงได้ ...

... เพราะรอจนเกิดเหตุสลดแล้ว เรียกชีวิตผู้คนประชาชนคืนกลับมาไม่ได้”

จากบางส่วนของ คำขออุทธรณ์คำสั่ง - เสนอต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 24 กันยายน 2553 – หวังให้ขบวนการยุติธรรมช่วยชีวิตคนมาบตาพุด

กลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด ระยอง – 20 พฤศจิกายน 53

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กรมธุรกิจพลังงาน - ให้ข่าว กดดันศาลปกครอง เรื่องจะดันทุรัง โรงแยกก๊าซที่ 6 มักง่ายประมาท ไม่ตอกเสาเข็ม

กรมธุรกิจพลังงาน เผค่าบาทแข็งส่งผลมูลค่านำเข้าน้ำมันทุกชนิดลดลง 1 แสนล้านบาท พร้อมปิ๊งไอเดียแจกคูปองส่วนลดซื้อ ก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือนหลังหมดมาตรการก.พ.54

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. นายพีระพล สาครินทร์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระยะ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมาประมาณ 9% จะช่วยทำให้ตลอดปีนี้ประเทศไทยจะมีการนำเข้าเชื้อเพลิงทุกประเภทมีมูลค่า การนำเข้าลดลง10% โดยธพ.ประเมินว่า ตลอดปีนี้ประเทศไทยจะมีการนำเข้าพลังงานคิดเป็นมูลค่ารวม เหลือเพียง 900,000 ล้านบาท หรือลดลง 100,000 ล้านบาทจากปกติในแต่ละปีประเทศไทยจะต้องนำเข้าพลังงานคิดเป็นมูลค่า1 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้แยกเป็นการนำเข้าน้ำมันเพียงประเภทเดียวคิดเป็นมูลค่าปีละ ประมาณ 800,000 ล้านบาท

อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวต่อว่า ธพ.กำลังศึกษาและหาข้อสรุปว่าหลังเดือนก.พ.2554 หากรัฐบาลยกเลิกนโยบาตรึงราคาจำหน่ายก๊าซหุงต้มหรือปล่อยให้มีการลอยตัวราคาภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม แต่ให้ตรึงราคาภาครัวเรือน ภาครัฐควรจะมีมาตรการใดมาช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้ก๊าซหุงต้มโดยล่าสุดได้ตั้ง สมมุติฐานว่าหากให้ตรึงราคาภาคครัวเรือนต่อไป ก็อาจจัดทำเป็นคูปองสำหรับแจกจ่ายให้ประชาชนผู้ใช้ก๊าซหุงต้มโดยใช้ฐาน ข้อมูลทะเบียนราษฏรเป็นเกณฑ์ในการ คำนวณสัดส่วนการใช้ก๊าซหุงต้มเป็นรายครัว เรือนโดยใช้จำนวนรายชื่อราษฏรในทะเบียนราษฏรเป็นหน่วยวัดค่าเฉลี่ยว่า ครอบครัวใดควรได้รับการจัดสรรคูปองส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้มจำนวนเท่าใดต่อ เดือนเป็นต้น

โรงแยกก๊าซที่ 6 และโรงแยกก๊ําซ อีเทน ไม่ตอกเสาเข็ม

ไม่มีหน่วยงานรัฐ ตรวจสอบ - ติดตาม แต่จะดันทุรังเปิดใช้

แค่ทรุดเพียงเล็กน้อย แนวท่ออาจแตกระเบิด มีคลังก๊าซขนาด 4200 คันรถ

ถ้าระเบิดลุกลามควบคุมไม่ได้ - นึกภาพต่อกันเอง ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!!!

เสาไฟแสงสว่างกลางถนนเหล่านี้ ต่ำกว่าหอต้มหอกลั่น ของโรงแยกก๊าซมาก

ตอกเสาเข็ม 8-10 ม. ลบคำพูดคนหลายคนที่อ้างว่า ดินที่มาบตาพุดตอกเสาเข็มไม่ลง

หากโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่6ของบริษัทปตท. จำกัด(มหาชน)สามารถเปิดเดินเครื่องการผลิตได้ในเร็วๆนี้ก็จะช่วยลดการนำเข้า ก๊าซหุงต้มได้จำนวนหนึ่งรวมทั้งหากโครงการติดตั้งเอ็นจีวีในรถแท็กซี่ของ กระทรวงพลังงานระยะแรก 30,000 คันแล้วเสร็จลง ก็จะทำให้ประเทศไทยลดการใช้ก๊าซหุงต้มในรถแท็กซี่ได้อีกเดือนละ 30,000 ตัน ซึงจะทำให้การนำเข้าก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศลดลงจำนวนมาก ส่วนปัญหาการลักลอบขนถ่ายไปจำหน่ายตามาแนวชายแดนผ่านกองทัพมดขณะนี้ได้ลดลง เพราะการตรวจสอบที่เข้มงวดของกรมศุลกากรและเจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละจุดผ่าน แดน แต่ยอมรับว่ายังมีการขนถ่ายผ่านประชาชนที่ข้ามไปมาระหว่างกันของประเทศ เพื่อนบ้านซึ่งมีปริมาณไม่สูงมากนักนายพีระพล กล่าว

อธิบดีกรม ธุรกิจพลังงาน กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในเดือนก.ย.ที่ผ่านมาพบว่า มีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนส.ค. โดยการใช้น้ำมันเบนซินรวมอยู่ที่ 20.3 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 2% ดีเซลอยู่ที่ 47.4 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 3% การใช้ก๊าซหุงต้ม อยู่ที่ 16,100 ตัน/วัน หรือ 482,000 ตัน/เดือน เพิ่มขึ้น 3% และการใช้ เอ็นจีวี อยู่ที่ 5,300 ตัน/วัน เพิ่มขึ้น 5% โดยคาดว่า ในเดือนต.ค. จะมีการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรที่มีการใช้เพิ่มสูง ขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของทุกปี

ขณะที่การนำเข้าน้ำมันในภาพรวมใน ไตรมาส ที่3 มีปริมาณรวม 12,419 ล้านลิตร ปรับลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งมีการนำเข้ารวม 13,165 ล้านลิตร หรือ 5.7% มีมูลค่านำเข้ารวม 188,121 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งมีมูลค่า 212,487 ล้านบาทหรือ 11.5% ในจำนวนนี้ เป็นการนำเข้า ก๊าซหุงต้ม 363,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 7,600 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 มีปริมาณการนำเข้า 432,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 10,500 ล้านบาท ลดลง 16% และ 27% ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป มีปริมาณ 3,700 ล้านลิตร มูลค่า 59,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 อยู่ 24% และ15% ตามลำดับนายพีระพล กล่าว

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/eco/127197

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เตรียมยื่นหนังสือ เรื่องโรงแยกก๊าซ ปตท. เสี่ยง ให้ นายกอภิสิทธิ์ ซ้ำอีก - 20 พ.ย. 53 ที่มาบตาพุด

ห่วงว่า ... เรื่องนี้ ภาครัฐ จะประเมินผิดซ้ำซาก อีก ประชาชน ต้องเดือดร้อนซ้ำๆ จากการประเมินสถานการณ์ ผิด ค่าชดเชยไม่พอเพียงกับค่าเสียหาย ... ที่มักอ้างกันว่า เป็นเหตุสุดวิสัย - เรื่องนี้ ... รัฐาลจะประเมินผิดพลาดอีกไม่ได้แล้ว เพราะมันจะเป็น หายนะภัย ร้ายแรง ต่อชีวิตผู้คนประชาชนและเศรษฐกิจของชาติ

ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2552 ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งโครงสร้างพิเศษสำคัญในโครงการต่างๆ ของ ปตท. จำนวนมาก พบว่าละเลยเรื่องความแข็งแรงมั่นคงในส่วนงานฐานราก ทั้งที่ก่อสร้างบนพื้นที่ปรับถมดินใหม่ และหลายโครงการอยู่บริเวณหมู่บ้านหนองแฟบ ชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ว่าเป็นหนองน้ำ แต่ในการก่อสร้างกลับไม่ตอกเสาเข็มอ้างว่า ถมดินบดอัดดีแล้ว เป็นการสมยอมของภาครัฐ ที่เอื้อต่อภาคอุตสาหกรรม ที่เร่งรัดเร่งรีบ เพื่อแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ และเพื่อประโยชน์ในส่วนของตน จนมีการเลียนแบบ ไปยังโครงการอื่นๆ มากมาย และในเวลาไม่กี่ปี จะมี หลายร้อย หลายพัน โรงงาน ทำแบบเดียวกันกับ ปตท. สร้างโรงงาน โดยปราศจากความแข็งแรงมั่นคง ถมที่เสร็จขุดหล่อฐานรากโดยไม่ต้องตอกเสาเข็ม โดยอ้างว่า ดินถมแข็งแรงมาก อ้างมีการทดสอบดินแล้ว เพราะทำให้โครงการเสร็จเร็วขึ้น 6-8 เดือน จึงเป็นที่มาว่า ทำไมทางกลุ่มฯ จึงขอให้ การนิคมอุตสาหกรรมฯ และ ปตท. จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบติดตามฯ ขึ้นมา เพราะถ้ามีเหตุสลดจากการทรุดพังของฐานราก ผู้ก่อสร้างฐานรากย่อมหนีจากความรู้สึกผิดบาปไปไม่ได้ สรรพสิ่งตั้งมั่นคงอยู่ได้หรือล้มลง ด้วยเพราะมีเหตุมีปัจจัย ตามกฎแห่งธรรมชาติ

แม้อ้างว่าได้รับการอนุมัติก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก่อสร้างไม่แข็งแรง-ไม่ตรงกับการออกแบบ ทั้งที่ทุกหน่วยงานภาครัฐรับรู้ แต่คงจะดันทุรังไม่ใส่ใจ โดยมีชีวิตของผู้คนประชาชนจำนวนมากเป็นเดิมพัน เพราะโรงแยกก๊าซ ปตท. มีคลังก๊าซแอลพีจีขนาด 4,200 คันรถ ทรุดพังไฟไหม้ระเบิดลุกลามควบคุมไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตผู้คนประชาชน และประเทศไทย การเร่งรัดจัดหาเครื่องมือ-สัญญาณเตือนภัย แนวกันชน แก้ปัญหาปลายเหตุ ระงับเหตุไม่ได้

ภาวนา ... ไม่ให้มันเกิด ตลอดอายุการใช้งาน 25-30 ปี เกิดเหตุเมื่อไหร่ ท่านหนีความรับผิดชอบไม่ได้อย่างแน่นอน ... เพราะ เจโทร(กรุงเทพ) รับรู้เรื่องนี้ และหวังว่าท่านจะดำเนินการ

... ธรรมชาติหาความแน่นอนไม่ได้ ใยจึงปล่อยความมักง่ายภาคอุตสาหกรรมลอยนวล

เฉยชาไม่ใส่ใจ ... ไม่เกิน 3 ปี โรงงานสร้างไม่แข็งแรงจะเต็มบ้านเต็มเมือง เหมือนป้ายโฆษณา

จากบางส่วนของ คำขออุทธรณ์คำสั่งเสนอต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 24 กันยายน 2553 – หวังให้ขบวนการยุติธรรมช่วยชีวิตคนมาบตาพุด

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตามไปดู ปตท. ที่อ้างว่า เป็นรัฐวิสาหกิจ เวลาจะให้ดำเนินการ ตรวจสอบความเสี่ยง

ปตท.ทุ่ม1ล้านล.เน้นพลังงานใหม่ เทงบลงทุน50%ไปต่างประเทศ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤศจิกายน 2553 23:52 น.
ปตท.ปรับงบลงทุนทั้งเครือ 5 ปีข้างหน้า (2554-2558) แตะ 1 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ขยับเพิ่มขึ้นจากแผนเดิมที่ลงทุน 8-9 แสนล้านบาท เผยเทงบการลงทุน 50% ไปต่างประเทศ เน้นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อเสาะแสวงหาพลังงานใหม่ ส่วนงบลงทุนเฉพาะปตท. 5ปี ไม่เกิน 3แสนล้านบาท นายเทวินทร์ วงษ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ทบทวนปรับเพิ่มวงเงินการลงทุนในกลุ่มปตท. ตามแผน 5ปีข้างหน้า (2554-2558) ขยับขึ้นเป็น 1 ล้านล้านบาท จากเดิมวางงบลงทุนไว้ 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการรวมงบการลงทุนตามแผนการเติบโตธุรกิจ (Growth Plan) เป็นครั้งแรก จากเดิมที่ คาดจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้ งบลงทุนของกลุ่มปตท.ครั้งนี้จะมีการจัดแบ่ง 2 รูปแบบเป็นครั้งแรก กล่าวคือ งบลงทุนในโครงการที่มีความชัดเจนอยู่แล้ว (Commit) และงบลงทุนโครงการเป้าหมายตามแผนเติบโตทางธุรกิจที่มีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งจะทำให้วงเงินการลงทุนโดยรวมของกลุ่มปตท.ขยับสูงขึ้นเป็นระดับประมาณ 1 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ขณะที่งบการลงทุนเฉพาะปตท. 5ปีข้างหน้าขยับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 3 แสนล้านบาท จากเดิมที่เคยวางงบการลงทุนไว้ 2.3 แสนล้านบาท เป็นการเตรียมเงินลงทุนสำหรับโครงการใหม่ อาทิ โครงการเหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้า และ FLNG นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งบการลงทุนของเครือปตท. ใน 5 ปีข้างหน้านี้ จะปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก ซึ่งการลงทุนระยะกลาง-ยาวจะเป็นการลงทุนในต่างประเทศถึง 50% ของวงเงินลงทุนรวมจะเน้นการลงทุนในธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่จะเห็นแหล่งปิโตรเลียมที่มีการผลิตยากขึ้น (Unconventional) เช่น การผลิตFLNG เพื่อหาแหล่งพลังงานป้อนประเทศไทยที่มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. จะโฟกัสการลงทุนในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย พม่า และแอลจีเรีย ซึ่งการลงทุนแหล่งปิโตรเลียมใหม่จะเป็นแหล่งที่มีการผลิตที่ยากขึ้น (Unconventional) เช่น การผลิต FLNG เพราะต้องยอมรับว่าแหล่งน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่ผลิตแบบปกติ (Conventional) มีผู้ลงทุนไปแล้ว โดยปตท.สผ.จะพิจารณาทั้งเรื่องการเจรจาซื้อกิจการ หรือการเข้าไปร่วมทุน ซึ่งแล้วแต่ความเหมาะสม สำหรับโครงการที่ปตท.สผ.เข้าไปลงทุนแล้วในออสเตรเลีย คือ แหล่งมอนทารา คาดว่าจะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 3/2554 มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 4 หมื่นบาร์เรล/วัน ส่วนโครงการท่าเทียบเรือของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี ของปตท.นั้น ยืนยันว่าไม่ติดปัญหา 11 ประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบรุนแรง เนื่องจากวิธีการวัดหน้าท่าของกรมเจ้าท่าพบว่าไม่เกินตามข้อกำหนด ส่งผลให้โครงการนี้ยังเดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ โดยปีหน้าจะมีการนำเข้า LNG ในตลาดจรจากต่างประเทศเข้ามาประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งเป็นการนำเข้าจากการ์ต้า และออสเตรเลีย เป็นต้น นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้ยอดการใช้น้ำมันของประเทศลดลง เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก บางพื้นที่ไม่สามารถเดินรถได้ ย่อมส่งผลให้ยอดขายน้ำมันปตท.ในช่วงนี้ลดลง แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวน ซึ่งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ 80 เหรียญ/บาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 90เหรียญเศษ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่ใกล้เคียงในช่วงที่บริษัทน้ำมันได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกไปก่อนหน้านี้ ทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1 บาทกว่า/ลิตร ดังนั้น แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นมาในช่วง 1-2 วันนี้ก็คงยังไม่มีการปรับราคาขายปลีกแต่อย่างใด ส่วนปัญหาพายุดีเปรสชั่นและน้ำท่วมในภาคใต้ ไม่มีผลกระทบต่อการผลิตก๊าซในอ่าวไทย นายประเสริฐ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เตรียมอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 5 แสนล้านเหรียญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเป็นเรื่องที่ดีในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 80-90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่เชื่อว่าจะไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันของโลกสูงกว่าความต้องการใช้

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในมาบตาพุด

ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกในมาบตาพุด

ระยอง 28 ต.ค. - เกิดไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง คนงานวิ่งหนีตายอย่างโกลาหล เจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงและรถโฟม จากในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง และจากโรงงานใกล้เคียงนับสิบคัน เข้าฉีดน้ำสกัดเพลิงที่ลุกไหม้ภายในบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) ถนนไอ 8 ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คนงานเล่าว่า จุดเกิดเหตุเป็นโรงต้มน้ำหล่อเย็นในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นไฟได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ลุกลามไปรอบอาคารโรงงาน แม้คนงานช่วยกันใช้เครื่องดับเพลิงฉีดพ่น แต่ไม่สามารถสกัดเพลิงไว้ได้ ขณะเดียวกัน พนักงานที่กำลังเปลี่ยนกะต่างพากันวิ่งหนีออกมารวมตัวอยู่หน้าประตูโรงงาน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหายและผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ล่าสุดรองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้สั่งปิดโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกดังกล่าวที่ถูกไฟไหม้ พร้อมกำชับให้เฝ้าระวังผลกระทบด้านมลพิษตลอดทั้งคืน. - สำนักข่าวไทย

ระยอง..ไฟไหม้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย

วันที่ 27 ตุลาคม 2553 เวลา 19.50 น. ดร.วีระพงศ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และ นายพีระวัฒน์ รุ่งเรืองศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ได้เปิดแถลงข่าวที่ บมจ.อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ อินดัสตรีส์ ซึ่งเป็นโรงงานผลิต เส้นใยสังเคราะห์ตั้งอยู่ถนนไอ 2 ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กรณีเกิดเพลิงไหม้บริเวณหม้อต้มไอน้ำ ซึ่งอยู่ภายในบริษัทฯ ทำให้เกิดมีน้ำมันรั่วไหลออกในระบบแล้วไฟลุกไหม้ที่หม้อต้ม ซึ่งมีขนาดกว้าง ประมาณ 1.5 เมตร จึงแจ้งรถดับเพลิงเทศบาลเมืองมาบตาพุดและโรงงานใกล้เคียง จำนวน 10 คันเข้าระงับเหตุ และสั่งให้คนงาน จำนวน 150คน เข้าหลบอยู่ในที่ปลอดภัยภายในบริเวณโรงงาน เนื่องจากทางโรงงานสามารถควบคุมสถานการณ์เองได้ ใช้เวลาควบคุมเพลิง กว่า 1 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ และได้ฉีดน้ำและโฟม ทำการหล่อเย็น ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ทาง กนอ. จะได้ให้วิศวกรเข้าตรวจสอบความเสียหายและสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยขณะเกิดเหตุ ได้หยุด การผลิต รอจนกว่าจะมีการตรวจสอบแล้วเสร็จ.