วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เตือนประกาศ11กิจการรุนแรง ส่อขัดธรน.เสี่ยงประชาชนฟ้อง
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สื่อมวลชนไทย เลือกข้าง - อยู่กับประชาชนและสิ่งแวดล้อมที่ดี อดอยากปากแห้ง
การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)
ออกประกาศกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 11 ประเภท ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และ สุขภาพ (เอชไอเอ) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นอีกเมื่อเครือข่ายชุมชนภาคตะวันออกที่มี นายสุทธิ อัชฌาศัย เป็นแกนนำ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวและมีแผนจะออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล เช่นเดียวกับสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนที่มี ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นหัวหอกที่มีแผนจะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกประกาศกิจการรุนแรงดังกล่าว
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า กลุ่มมวลชนและกลุ่มเอ็นจีโอ กำลังต้องการให้รัฐบาลทำอะไรมากไปกว่านี้ เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหาการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดก็มาจากการฟ้องศาลปกครองของสมาคมต่อต้านสภาวะแวดล้อมที่ระบุว่า ภาครัฐไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 จนเป็นที่มาของคำสั่งระงับโครงการลงทุน จำนวน 76 โครงการ ในมาบตาพุด และกลายเป็นปมประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาพรวมของประเทศไปโดยปริยาย เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจกับการลงทุนในไทย
สิ่งที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและกลุ่มเครือข่ายชุมชนฯ ต้องการ คือ การปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ไม่ใช่เหรอ ?? ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 4ฝ่าย ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคเอกชน เข้าร่วมเป็นกรรมการ รวมถึงภาคประชาชน และเอ็นจีโอ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรง การตั้งองค์กรอิสระชั่วคราว
แต่เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ นำหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรงที่คณะกรรมการ 4 ฝ่าย เสนอมาพิจารณาและประกาศออกเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา กลับไม่เป็นที่พอใจของภาคประชาชนและเอ็นจีโอ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็อยู่ในกรรมการ 4 ฝ่าย ที่เป็นผู้เสนอหลักเกณฑ์กิจการรุนแรงเสนอบอร์ดสิ่งแวดล้อม สุดท้ายแม้กรรมการบางคนจะอ้างว่า 11 ประเภทกิจการที่ออกมาแตกต่างจากที่เสนอไป แต่โดยหลักใหญ่ๆ ก็ยังคงเป็นกิจการที่กรรมการ 4 ฝ่าย เสนออยู่นั่นเอง
ที่สำคัญเรื่องนี้ภาคเอกชน ก็เกือบจะยอมศิโรราบพร้อมปฏิบัติตามสิ่งที่ภาคประชาชนและเอ็นจีโอเรียกร้อง แม้ว่าบางเรื่องจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการอยู่แล้วก็ตาม เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และพร้อมจะดำเนินการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) เพิ่มเติมเข้าไปตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งๆ ที่เป็นความผิดของภาครัฐที่ไม่ยอมออกประกาศหลักเกณฑ์ตามมาตรา 67 ทั้งเรื่อง เอชไอเอ และ องค์กรอิสระ
"เมื่อเขาทำผิด ภาครัฐก็ลงโทษทั้งปรับ ถอนใบอนุญาต ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อภาคธุรกิจยอมทำในสิ่งที่มวลชนและเอ็นจีโอเรียกร้องทุกอย่างแล้ว ก็ควรจะอะลุ่มอล่วย ให้เขาเดินหน้าธุรกิจต่อได้ เพียงแต่ต้องตรวจสอบได้ เพื่อให้โรงงานอยู่ร่วมกับชุมชนให้ได้ ไม่ใช่เอะอะไร ก็นำมวลชนมาชุมนุมก่อม็อบกดดันรัฐบาล ทั้งๆ ที่กฎหมายก็มีอยู่...เราไม่ควรปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย"
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4240 ประชาชาติธุรกิจ ข้อยุติมาบตาพุด แค่บทเรียนที่ว่างเปล่า ? บทบรรณาธิการ ดูเหมือนข้อยุติกรณีปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่ยืดเยื้อมานานนับปี อาจเข้าสู่โค้งสุดท้ายที่จะได้ข้อสรุปเสียที หลังจากล่าสุด ศาลปกครองกลางนัดฟังคำพิพากษาสั่งคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและพวกรวม 43 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติและพวก กรณีกระทำการมิชอบในการออกใบอนุญาตให้ 76 โครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉาง และบริเวณใกล้เคียงใน จ.ระยอง ในวันที่ 2 ก.ย. 53 เวลา 13.30 น. และก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (บอร์ด สวล.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็เพิ่งจะมีมติอนุมัติร่างกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โดยเห็นชอบให้ 11 กิจการเป็นกิจการรุนแรง จากที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุดได้เสนอมาจำนวน 18 กิจการ อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากปฏิกิริยาของทั้งฝ่ายเอกชน ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน ทั้งที่ได้รับผลกระทบโครงการต่าง ๆ ชะงักงันไปในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กิจการ เข้าข่าย 11 ประเภทที่ถือเป็นกิจการอันส่งผลกระทบรุนแรง และในฝ่ายของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่ต่างก็ยังไม่พอใจกับข้อสรุปที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่หมดภารกิจที่จะต้องตอบคำถาม สร้างความชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นในประเด็นที่มีการพิจารณาปรับลดประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบรุนแรงจาก 18 ประเภทให้เหลือเพียง 11 ประเภทนั้น มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างโปร่งใสแล้วหรือไม่ มีการโอนอ่อนตามข้อเรียกร้องหรือกลุ่มผลประโยชน์ดังที่มีการตั้งข้อสังเกตหรือเปล่า ขณะเดียวกันในด้านของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ จะมีคำชี้แจงหรือรับประกันได้เต็มปาก หรือไม่ว่า ปัญหาข้อขัดแย้งและภาวะคลุมเครือชะงักงันของการลงทุนจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต ทั้งในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่จะเกิดโครงการลงทุนอุตสาหกรรมที่อาจเข้าข่าย "กิจการรุนแรง" ถึงที่สุดแล้วประเด็นหลักมิได้ขึ้นอยู่กับว่า จะมีการประนี ประนอมให้เกิดการลงทุนได้มากขึ้นเท่าไร เป็นมูลค่าสูงขนาดไหน เช่นเดียวกันกับที่ทางออกหรือข้อยุติย่อมไม่อาจตอบ สนองทุกข้อเสนอหรือความต้องการทั้งหมดของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ประเด็นหลักของการหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อที่ จะก้าวออกมาให้พ้นปัญหาความขัดแย้งและภาวะชะงักงันนั้น ทุกฝ่ายน่าจะยึดหลักยอมรับกฎกติกาที่หาข้อยุติสำหรับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกสิ่งพร้อมที่จะเดินหน้าได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากท้ายที่สุดแม้จะมีมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมออกมาแล้ว หรือมีคำพิพากษาศาลปกครองกลางออกมาในต้นเดือนกันยายนแล้ว แต่ละฝ่ายยังยืนกรานที่จะต่อสู้ ฟ้องร้องคดีต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ก็คงเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะออกมาพูดได้เต็มปากว่า ปัญหากรณีมาบตาพุดยุติแล้ว และคงหวังได้ยากที่จะเห็นการลงทุนภาคอุตสาหกรรมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างยึดเอาความต้องการของตนเป็นที่ตั้ง
'อภิสิทธิ์'วอนสมาคมโลกร้อนอย่าเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลปัญหามาบตาพุด ยันรัฐบาลให้ความสำคัญมาตราฐานสิ่งแวดล้อมสูงกว่าหลายประเทศ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมาคมโลกร้อนเตรียมออกมาเคลื่อนไหว เนื่องจากไม่พอใจการประกาศกิจการรุนแรงของรัฐบาล ไม่ครอบคลุมว่า เรื่องนี้ต้องชี้แจงกัน ซึ่งจริงๆแล้วตนได้ให้คนในรัฐบาลติดต่อประสานงานกับภาคประชาชนตลอดเวลา ตรงไหนที่ยังมีปัญหาติดใจก็สามารถที่จะสอบถามกันมาได้ - เสี่ยงทรุดพังระเบิด แบบโรงแยกก๊าซ ใหม่ ปตท. นี่นะมาตรฐานสากล
เมื่อถามว่าคิดว่าจะสามรถขยับประกาศเพิ่มที่ที่เรียกร้องได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนที่มีการยื่นเพิ่มเติมเข้ามาตนได้มอบให้ทางคณะอนุกรรมการที่เป็นผู้ชำนาญการดูอยู่ นั่นคือส่วนที่กรรมการ 4 ฝ่ายเขาไม่ได้เห็นด้วย เพราะส่วนที่กรรมการ 4 ฝ่ายเห็นด้วยนั้นได้มีการพิจาณาไปหมดแล้ว
เมื่อถามว่าหากมวลชนใช้วิธีการกดดันอีกครั้งรัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่น่าจะทำอย่างนั้น เพราะรัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก มาตรการหลายอย่างที่เราไปดำเนินการที่มาบตาพุดขณะนี้ เราเอาจริง เอาจัง แต่สิ่งสำคัญกว่าเรื่องของกิจการคือมาช่วยกันติดตามการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไปมากกว่า เวลานี้มาตรฐานเรื่องการทำงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรฐานในเรื่องนี้ของเราตนเองกล้ายืนยันได้เลยว่าสูงกว่าหลายต่อหลายประเทศ ปัญหามีอย่างเดียวคือมีมาตรการออกมาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามและการบังคับใช้กฎหมายยังย่อหย่อนและระบบของการทำงานเวลาเกิดเหตุเป็นปัญหา มีเรื่องเดียวที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมคือความสามารถของพื้นที่ในการรองรับเรื่องของมลพิษในภาพรวม ซึ่งตรงนี้กำลังดำเนินการอยู่ คือทุกโครงการดำเนินการอยู่ มีการผลักดันและประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ เราได้มีการเข้มงวดกวดขันและอนุมัติงบประมาณไปเรื่องการป้องกันและการบรรเทาผลกระทบพร้อมทั้งทำระบบข้อมูล ระบบเตือนภัย
เมื่อถามว่ามีการประเมินหรือไม่ มาตรฐานที่สูงขึ้นจะกระทบกับการลงทุนที่เข้ามามากน้อยแค่ไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอยืนยันว่า มาตรฐานสูงไม่กระทบมาก ภาคธุรกิจสิ่งที่เขาต้องการมากสุดคือความแน่นอนมากกว่า เมื่อเขารู้ว่ากติกาเป็นอย่างไร เขาก็ตัดสินใจ เพราะเห็นว่า มาตรฐานเราควรเป็นอย่างไร ทางเราเองก็กำหนดตามอย่างนั้น ทั้งนี้ผลกระทบที่มีต่อการลงทุนที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน คือเขาได้ใบอนุญาตไปแล้วแต่ปรากฏว่า ศาลตัดสินว่า ใบอนุญาตใช้ไม่ได้ อย่างนี้มันกระทบกับการวางแผนของเขา แต่ต่อจากนี้ไปเขารู้แล้วว่า เขาจะมาลงทุนกิจการนี้ เขามีขั้นตอนนานขึ้น อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นคงไม่เป็นปัญหา เพราะเขาจะสามารถทำงานได้
ปตท.ยัวะข่าว รบ.อินโดฯ เรียกค่าเสียหายน้ำมันรั่ว ขู่เล่นงานทาง กม.
เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก - นัดรวมตัว ฟังคำสั่งศาลปกครอง 2 ก.ย. 53
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
2 เมษา ชี้ชะตา คนมาบตาพุด
ศาลปกครองกลางที่มีนาย
ทั้งนี้ ศาลได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้แถลงด้วยวาจา ซึ่งนาย
นอกจากนี้ การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา กำหนดประเภทโครงการรุนแรงควรมีแค่ 11 โครงการนั้น เป็นการกำหนดที่ไม่มีเหตุผลและยังเป็นการลดจำนวนโครงการที่มีผลกระทบ ซึ่งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีนาย
ด้านนาย
หลังจากนั้นองค์คณะได้ให้นาย
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องให้ทั้ง 76 โครงการดำเนินการโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการตามมาตรา 67 แต่ได้มีการประเมินศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ จึงไม่ถือเป็นการกระทำที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด และเมื่อฟังได้ว่าการเห็นชอบอนุมัติออกใบอนุญาตเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ประกอบกับผู้ฟ้องคดี20-30 ขอถอนฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าผู้ถูกฟ้องได้มีการแก้ไขเยียวยาแล้ว กรณีจึงเห็นสมควรให้ยกเลิกคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
ส่วนที่ผู้ฟ้องอ้างว่าทั้ง 76 โครงการ ก่อมลพิษรุนแรงในพื้นที่จนเกินกว่าศักยภาพการบริหารจัดการของกรมควบคุมมลพิษ ข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องนำเสนอยังไม่พอฟังได้ว่า มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรุนแรง จึงสมควรพิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ถ้าต่อมา ครม.ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 303 เรื่องสิทธิชุมชนแล้วเสร็จแล้วปรากฏว่า 76 โครงการ ไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่าข้อเท็จจริงมีผลให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้ ผู้ฟ้องคดีสามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้
ทั้งนี้ องค์คณะได้พักการพิจารณา 10 นาที และได้มีการประชุมโดยกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายนนี้ เวลา 13.30 น.
ด้านนาย
นาย
อีกทั้งไม่เป็นไปตามข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องที่ระบุว่า การชะลอโครงการลงทุนในมาบตาพุดทั้ง 64 โครงการมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว นายกรัฐมนตรี ระบุชัดว่า จีดีพีของไทยในครึ่งแรกของปี 53 ขยายตัวถึงกว่า 10% สอดคล้องกับตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) และมีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง จะขยายตัวร้อยละ 7-8
นอกจากนี้ สมาคมฯ จะยื่นคัดค้านมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นชอบให้ออกประกาศโครงการหรือกิจการที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ 11 ประเภท ซึ่งบิดเบือนเสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนที่ยอมรับประกาศกิจการรุนแรง 18 ประเภท ของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 3 ที่ไม่รับฟังความเห็นจากภาคประชาชน โดยจะรวบรวมหนังสือมอบอำนาจจากประชาชนทั่วประเทศมาประกอบการคัดค้านภายใน 2 สัปดาห์
สำหรับการพิจารณาคดีมาบตาพุดของศาลปกครองกลางวันนี้จะเป็นการรับฟังข้อมูลครั้งสุดท้ายของทั้งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง โดยเป็นการแถลงปิดคดีของตุลาการเจ้าของสำนวน คาดว่าไม่เกิน 1 เดือน ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษาออกมาชัดเจน
ด้านนาย
พร้อมกันนี้ ยังเรียกร้องให้มีการจัดทำหลักเกณฑ์การออกประกาศกิจการรุนแรงใหม่ โดยให้ 3 องค์กรหลักเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งกำหนดชัดเจนว่าจะต้องประกาศภายใต้กฎกระทรวงใด ซึ่งในวันที่ 29 ส.ค.นี้ จะประชุมสมาชิกเครือข่ายฯ เพื่อตรวจสอบการตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติหรือไม่ และหากพบว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการพิจารณาออกประกาศกิจการรุนแรงที่เอื้อต่อภาคเอกชน ทางเครือข่ายฯ ก็จะยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ให้ตรวจสอบต่อไป
นายสุทธิ กล่าวว่า ต้องการให้มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า ภาคอุตสาหกรรมมีการจัดตั้งกลุ่มชาวบ้านเข้าไปร่วมเวทีแสดงความคิดเห็น ซึ่งถือว่าไม่มีความโปร่งใส
นาย
แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทก็มีเริ่มจัดทำรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ(HIA) ควบคู่กับการต่อสู้คดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าหากมีข้อกำหนดร่างกฎเกณฑ์การจัดทำ HIA จากทางภาครัฐออกมา บริษัทก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการตามร่างข้อกำหนด แต่คงต้องรอดูคำพิพากษาของศาลอีกครั้งในวันที่ 2 ก.ย.นี้ เนื่องจากน่าจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการในแต่ละโครงการออกมาด้วย
สำหรับโครงการโรงแยกก๊าซ 6 และโครงการที่แล้วเสร็จนั้น ขณะนี้ ปตท.พร้อมเดินหน้า แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นกับคำตัดสินของศาลด้วย
นายชายน้อย กล่าวว่า ความคืบหน้าในการพิจารณาคดีของศาลปกครองกลาง ถือว่าเป็นการพิจารณาที่มีความรอบคอบรวดเร็ว และเป็นแนวทางที่ดีที่จะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นใจการลงทุนของประเทศ ซึ่งความชัดเจนของคดีนี้จะช่วยให้ความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง
เรียนเชิญสื่อมวลชนทำข่าว
“แถลงท่าทีการเคลื่อนไหวภาคประชาชน”
วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมศรีสุวรรณ โรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง
นาย
ผู้นัดหมายและผู้แถลง
โทร.081-8646558
เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
เลขที่ 113 ถนนยมจินดา
ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 21000
โทรศัพท์ 038-613928, 081-8646558
โทรสาร 038-613928
The Eastern People' Network
113
Thapradu, Muang,
Rayong 21000
Tel: 038-613928, 081-8646558
Fax: 038-613928
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ศาลปกครอง นัดไต่สวนครั้งสุดท้ายคดีมาบตาพุด 26 ส.ค. นายกสมาคมโลกร้อน เตรียมข้อมูลแถลงปิดคดี
นายกสมาคมโลกร้อนระบุศาลปกครอง นัดไต่สวนครั้งสุดท้ายคดีมาบตาพุด 26 ส.ค. เตรียมข้อมูลแถลงปิดคดี แจงกก.สิ่งแวดล้อมประกาศกำหนด11โครงการรุนแรง
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ซึ่งร่วมกับชาวบ้านมาบตาพุด จ.ระยอง 43 ราย ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ เวลา 13.00 น. ศาลปกครองกลางได้แจ้งหมายมายังผู้ฟ้อง และผู้ถูกฟ้องคดี รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด เพื่อให้ไปไต่สวนพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนัดฟังคำพิพากษาต่อไป ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้จัดเตรียมข้อมูลไว้เพื่อปิดคดีในวันดังกล่าวแล้ว พร้อมจะชี้ให้ศาลเห็นว่าปัญหาความเดือดร้อนและเสียหายของประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด - บ้านฉาง และใกล้เคียงในอดีตมาจนถึงปัจจุบันนั้น มีสภาพเป็นอย่างไร
พร้อมทั้งจะแฉพฤติการณ์ของหน่วยงานรัฐและรัฐบาลให้ศาลเห็นว่า ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของชาวบ้านเลยและละเมิดกฎหมายอย่างไร อีกทั้ง 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉางและใกล้เคียง เหมาะสมที่จะเป็นโครงการประเภทรุนแรงตามที่ศาลปกครองชั้นต้นได้เคยมีคำสั่งไว้แล้วอย่างไร รวมทั้งการชี้ให้ถือบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2552 ไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค.52
นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติกำหนดโครงการประเภทรุนแรงจำนวน 11 โครงการ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยชัดแจ้ง เป็นการกระทำตามหน้าที่ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ถือแนวทางของเสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนทั่วประเทศที่มีมติให้มีโครงการหรือกิจกรรมประเภทรุนแรงเบื้องต้นตามรัฐธรรมนูญจำนวน 18 โครงการหรือมากกว่า ซึ่งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายได้สรุปเสนอต่อนายกรัฐมนตรีมาแล้ว มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ดังกล่าวจึงถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายและความต้องการของประชาชน สมาคมฯ จึงจะร่วมมือกับชาวบ้านทั่วประเทศ เพื่อฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้ยกเลิกมติ หรือคำสั่งดังกล่าวต่อไป
"การรุกรี้รุกรนเร่งรีบสรุปโครงการโดยไม่นำพาเสียงของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสีย ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพียงเพื่อให้หน่วยงานรัฐใช้เป็นข้ออ้างในศาลเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเครื่องมือหลีกเลี่ยงการไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสองเท่านั้น" นายศรีสุวรรณ
นายกฯตีกรอบแก้ปัญหาโครงการลงทุนมาบตาพุดจบภายใน 2 เดือน หลังนักลงทุนญี่ปุ่นขยาด
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระหว่างการชี้แจงผลการประชุมหารือกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะ ระหว่าง 22-27 ก.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีระบุว่าได้กำหนดกรอบสำหรับการแก้ไขปัญหามาบตาพุดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายใน 2 เดือนนับจากนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากฝ่ายญี่ปุ่นขอทราบความคืบหน้าปัญหามาบตาพุด ซึ่งไทยได้ชี้แจงว่าไทยเข้าใจว่าปัญหาดังกล่าวมีผลต่อการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่น แต่ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนไทยด้วยเช่นกันดังนั้นจึงต้องมีการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้านจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นขอให้ไทยสนับสนุนข้อเสนอการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจแบบ ASEAN+6 หรือ CEPEA ซึ่งประกอบด้วยอาเซียน 10 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในการประชุมเอเปคที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพในเดือน พ.ย.2553 ฝ่ายไทยได้ชี้แจงให้ทราบว่าไทยได้ให้ความสำคัญต่อการรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และขอขอบคุณที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดทำข้อเสนอแผนการรวมกลุ่มเศรษฐกิจแบบ ASEAN+6 มาเป็นแนวทางการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เนื่องจากไทยเห็นว่าแผนดังกล่าวมีจุดเด่นเรื่องกลไกการทำงานที่สอดคล้องกับโครงสร้างเดิมที่อาเซียนมีอยู่แล้ว ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการทำงาน
***
กลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น ขอให้นำเรื่อง โรงแยกก๊าซเสี่ยง ปตท. เป็นส่วนหนึ่
กรณีการแถลงข่าวของ ปตท. เรื่องโรงแยกก๊าซใหม่ ไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด และการขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว
ข่าวจากกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด ระยอง : 16.30 น - 23 สิงหาคม 2553
สืบเนื่องถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ ปตท.อ้างว่า โครงการได้มีการตรวจสอบติดตามมาตั้งแต่ขบวนการก่อสร้าง จนถึงปัจจุบัน และไม่พบการทรุดตัวที่ผิดปกติ แต่อย่างใดนั้น พร้อมกับการอ้างถึงการดำเนินการโครงการโดยมีมาตรฐานสูง มีการตรวจสอบและการควบคุมการก่อสร้างอย่างเคร่งครัดอย่างละเอียดรอบคอบทุกขั้นตอนนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ปราศจากข้อเท็จจริง จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นการกระทำให้ลักษณะหลอกลวงประชาชน และนักลงทุน
เพราะจากการติดตามเรื่องการตรวจสอบนี้ มาตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2552 ถึง มกราคม 2553 พบว่า ในส่วนของโรงแยกก๊าซอีเทน ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพราะกำลังทดสอบระบบจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของ โรงแยกก๊าซที่ 6 เพิ่งเริ่มต้นให้มีการติดตามข้อมูลเดิมจากการส่งมอบงาน ทั้งที่งานส่วนใหญ่แล้วเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2551 และพบอีกว่ามีการทรุดตัวจำนวนมากในเดือน พฤษภาคม 2552 แล้วมีการซ่อมสร้างใหม่ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบติดตามอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งค่าทรุดตัวที่ยอมรับได้ ในข้อกำหนดของการออกแบบนั้นน้อยมาก คือ ทรุดได้เพียง 10-
การอ้างว่า ปตท.ได้ออกแบบและก่อสร้างตามหลักมาตรฐานทางวิศวกรรมที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ภายใต้การตรวจสอบควบคุมโดยบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน
ในแบบก่อสร้างและข้อกำหนดงานดินในงานฐานรากตื้นต่างๆ ของโรงแยกก๊าซ ปตท. ไม่มีการกำหนดหรือระบุค่ารับน้ำหนักปลอดภัยของดินที่ใช้ในการออกแบบ แต่มีระบุค่าความแข็งแรงของวัสดุอื่น เช่น เหล็กเสริม คอนกรีต และคอนกรีตหยาบไว้อย่างชัดเจน ทั้งที่สาระสำคัญของฐานรากตื้นไม่มีเสาเข็มนั้น ขึ้นอยู่กับค่าการรับน้ำหนักได้ของดินเป็นสำคัญ และต้องใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างฐานรากตื้น และค่ารับน้ำหนักของดินสูงมากๆนี้ไม่มีการอ้างถึงเลยโดยตลอดในช่วงมีการก่อสร้าง
เสมือน “ การสร้างคอนโดสูง 10 ชั้นโดยไม่ตอกเสาเข็ม คนสร้างขายบอกว่าแข็งแรง แต่คนซื้อกล้าเข้าไปอยู่มั้ย?!”
จึงได้นำเรื่องข้อเท็จจริงนี้มาขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์โดยมีคำสั่งให้ หยุดการดำเนินการต่างๆ ของโรงแยกก๊าซ ที่ 6 และโรงแยกก๊าซอีเทน ของ ปตท. เพื่อให้มีขบวนการตรวจสอบการทรุดตัวของโครงสร้างต่างๆ ให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา และหยุดยั้งความเสี่ยงสูงมากที่มาจากปัญหาฝนตกหนักพายุลมแรงในช่วงนี้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุสลดที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ และเพื่อจะได้เป็นข้อมูลความจริงที่ชัดเจนถี่ถ้วน ประกอบการวินิจฉัยฯ
และในวันที่ 23 สิงหาคม เวลา 10.50น. ได้ยื่นหนังสือฯต่อ ท่านอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ขณะที่เดินทางมาเปิดงานศาลปกครองพบประชาชน ที่ห้องสุนทรภู่ โรงแรมสตาร์ ระยอง เพื่อให้ทราบเรื่องราวต่างๆ ด้วย
ศรัลย์ ธนากรภักดี
ผู้ประสานงานกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น
Mobile 081-3574725 WebBlog: http://airfresh-society.blogspot.com/
ด่วน! เตรียมการเคลื่อนไหวคัดค้านกิจการรุนแรงฯ โดยเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
เรียนเชิญสื่อมวลชนทำข่าว
“เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
แถลงข่าวเตรียมการเคลื่อนไหวคั
วันพุธที่ 25 สิงหาคม 2553 เวลา 11.00 น.
ณ สำนักงานสำนักงานเครือข่
ประเด็นดังต่อไปนี้
1. เครือข่ายฯ เตรียมการเคลื่อนไหวคัดค้านการป
2. นัดหมายรวมพล เตรียมการเคลื่อนไหวใหญ่ในทุกรู
3. เตรียมนัดประชุมใหญ่เครือข่ายฯ ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2553 เวลา 9.30 น. ณ ห้องประชุมศรีสุวรรณ โรงแรมสตาร์
นายสุทธิ อัชฌาศัย
ผู้ประสานงานเครือข่
โทรศัพท์ 081-8646558
เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
เลขที่ 113 ถนนยมจินดา
ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 21000
โทรศัพท์ 038-613928, 081-8646558
โทรสาร 038-613928
The Eastern People' Network
113 Yomjinda Rd.,
Thapradu, Muang,
Rayong 21000
Thailand
Tel: 038-613928, 081-8646558
Fax: 038-613928
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ญี่ปุ่น งง!!! ... มาตรฐานสากลรัฐบาลไทย โรงงานมาบตาพุดจำนวนมาก ไม่ตอกเสาเข็ม
ลองอ่านจดหมายจาก เจโทร ว่าคิดอย่างไรกับโรงแยกก๊าซ เสี่ยง ปตท. ไมตอกเสาเข็ม
August 6, 2010
Dear Khon Maptaphut, Rayong, Thailand, Thank you for your email dated 22 July in Thai. Please understand that it took time to translate your email into Japanese. Moreover, we also got your email dated 3 August in English As you may know, Japan has a lot of natural disasters like earthquakes and typhoon. In addition, 70% of Japan land is mountainous. Our population of around 120 million make living at limited flat area with next to a lot of factories. Therefore, under these natural conditions and living environment, we have very strict regulations and high standards for structural safety, such as Building Standard Act in Japan. We regard it as most important to have necessary procedures, period for construction and strict regulations for our safety. We are proud that Japanese people as well as business community are most sensitive to safety issue. We assure you that we are committed to indicated rules and regulations, and we do not compromise any safety standards. In your email, you have delivered your concern to PM Abhisit and other ministers. We, Japanese and Japanese business community who enjoy staying in our great Thailand, strongly hope that Thai government will make proper actions on this issue. Lastly, Japanese as well as Japanese business community are ones who highly respect and strictly observe the laws. Therefore, for this issue, we always ask the Thai Government to let us know the rules and regulations which we should obey. Sincerely, Munenori Yamada President, JETRO Bangkok
(แม้ว่าตอบ จม. ล่าช้าคงอ้างว่าแปลไทยเป็นญี่ปุ่น แต่เรื่องนี้ ส่งกับมือนายกรัฐมนตรีไทย อดีตนายก รมต. และผู้เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน เรื่องกับเงียบหายนานกว่า 7 เดือน ทั้งๆที่มีเมล์ มีกระทู้ถามถึง อยู่เนือง หลายๆทาง แต่หามีใครใส่ใจกับปัญหานี้ รวมทั้ง สื่อมวลชนไทยทั้งหลาย ที่ไม่นำพาใส่ใจด้วย)
แปลเป็นภาษาไทย ได้ใจความดังนี้ -
ขอขอบคุณสำหรับอีเมลของคุณลงวันที่ 22 กรกฎาคม ในภาษาไทย โปรดเข้าใจว่า ได้ใช้เวลาในการแปลอีเมล์เป็นภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้เรายังได้อีเมล์ของคุณ วันที่ 3สิงหาคมในภาษาอังกฤษ
Munenori Yamada
ประธานคณะกรรมการบริหาร
เจโทร (กรุงเทพ)
องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น