วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

มาบตาพุด เดือด ม๊อบต้านม๊อบไม่เอาโรงงาน 30 ก.ย. 53

"มาบตาพุด"เดือด คนพื้นที่ฮือต้านม็อบ
ปัญหาการคัดค้านโครงการอุตสาหกรรมพื้นที่มาบตาพุดเริ่มบายปลาย 33 ชุมชน เตรียมรวมตัวยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯระยอง ไม่อยากให้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ใช้พื้นที่ก่อม็อบต้านรัฐบาล ขู่หากไม่ฟังเจอ"ม็อบชนม็อบ"แน่ ด้าน"สุทธิ"แฉนายทุนให้งบอุดหนุน ดันชาวบ้านออกมา นายอิทธิพล แจ่มแจ้ง ประธานมูลนิธิคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมมาบตาพุด เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 กันยายนนี้ เครือข่ายชุมชนมาบตาพุด 33 ชุมชน จะไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เพื่อแถลงจุดยืนคัดค้านการชุมนุมของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกที่นำโดยนายสุทธิ อัชฌาศัย พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอ 2 ประเด็น คือ 1.ขอให้การชุมนุมจำกัดในพื้นที่ โดยไม่ปิดถนนและนำมาซึ่งความเดือดร้อน เนื่องจากอดีตเคยมีการชุมนุมเรียกร้องเรื่องค่าแรงด้วยการปิดถนน ได้ส่งผลกระทบอย่างมาก 2.กรณีที่มีการคัดค้านประกาศ 11 กิจการรุนแรง ไม่ควรใช้พื้นที่มาบตาพุดในการกดดันรัฐบาล แต่ควรไปยื่นหนังสือกดดันที่ทำเนียบรัฐบาลแทน เนื่องจากเห็นว่า ท้ายที่สุดจะเป็น 11 กิจการหรือ 18 กิจการนั้น กิจการที่เข้าข่ายก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่มาบตาพุด เพราะส่วนใหญ่เป็นกิจการเหมืองแร่ เขื่อน ฯลฯ ดังนั้นหากมีการปิดถนนจนกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนในพื้นที่ ก็ยืนยันว่า จะมีม็อบชนม็อบแน่นอน ด้านนายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวว่า เครือข่ายฯพร้อมที่จะชุมนุมวันที่ 30 กันยายนนี้ ที่หน้าศูนย์ราชการจังหวัดระยอง แต่พบว่ามีกลุ่มผู้นำชุมชนในเทศบาลมาบตาพุด กลุ่มระยองสมานฉันท์ ซึ่งนำโดยนายสุธา เหมสถล กลุ่มแรงงานในระยองและกลุ่มรับเหมา จะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการชุมนุมของภาคประชาชน ซึ่งจากการสืบข้อมูลเชิงลึกพบว่า กลุ่มเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มและวางรูปแบบให้เกิดการปะทะกัน "เรายืนยันว่าจะเคลื่อนไหวโดยสงบและจะพยายามไม่ปะทะกับกลุ่มที่จะเข้ามาต่อต้านแต่อย่างใด"นายสุทธิกล่าว
วันที่ 24/9/2010

“ศรีสุวรรณ” ร้อง ก.อุตสาหกรรม เร่งอนุญาตโครงการรุนแรงมาบตาพุด เผยปิโตรฯ เข้าข่าย 19 โครงการ

วันที่ 21 ก.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง รมว.อุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรื่องการละเมิดอำนาจศาล โดยการอนุญาตโครงการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ก่อนดำเนินการ ข้อความระบุว่า ตามที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2553 ให้ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งหมายถึง รมว.อุตสาหกรรม และพวก ดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ หรือกิจรรมที่เข้าข่ายเป็นโครงการรุนแรง ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค.2553 นั้น แม้การประกาศดังกล่าว จะดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการฟ้องร้องเพิกถอนกันต่อไปนั้น แต่เนื่องจากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลผูกพันจนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดออกมา ตามที่ผู้ฟ้องคดีจักยื่นอุทธรณ์ต่อไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดตาม พ.ร.บ.จัดตั้ง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 นั้น

เร่งอนุญาตโครงการรุนแรงมาบตาพุด

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ พบว่า มีความพยายามให้ข่าวที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลให้มีการเร่งอนุมัติ หรืออนุญาตโครงการต่าง ๆ ที่ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวอยู่อย่างเร่งรีบ จนอาจลืมบริบทของการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และทุกข์เข็ญของชาวบ้านมาบตาพุด และบ้านฉาง ที่ยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไขปัญหา หรือเยียวยาอย่างเหมาะสมเพียงพอเลย จากการตรวจสอบข้อมูลโครงการทั้ง 76 โครงการ พื้นที่มาบตาพุด-บ้านฉาง และใกล้เคียงตามฟ้องนั้น พบว่า มีไม่ต่ำกว่า 19 โครงการ ที่เข้าข่ายเป็นโครงการรุนแรงตามประกาศของ ทส. โดยเฉพาะโครงการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น และขั้นกลาง ที่มีวัตถุดิบ และกระบวนการผลิตที่มี หรือก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งในกลุ่มต่าง ๆ ตามประกาศดังกล่าว โดยมีหลักฐานยืนยันปรากฏชัดเจนในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหรือสุขภาพที่ผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ เหล่านั้น ได้ดำเนินการ หรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือสถาบันการศึกษาจัดทำ “ดังนั้น การที่ รมว.อุตสาหกรรม และพวก เร่งรีบการอนุมัติ หรืออนุญาตโครงการ หรือกิจกรรมดังกล่าวไป โดยละเมิดคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง จึงถือได้ว่ามีเจตนาที่จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยาย สมาคมฯ และชาวบ้านในฐานะผู้มีส่วนได้เสียไม่อาจนิ่งเฉยต่อการกระทำดังกล่าวได้ต่อไป จึงขอให้ทบทวน หรือยุติการดำเนินการใด ๆ ที่นำไปสู่การละเมิดคำพิพากษาดังกล่าวเสีย หากทุกคนที่เกี่ยวข้องเพิกเฉยต่อจดหมายฉบับนี้ สมาคมฯ และชาวบ้านที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องพึ่งอำนาจศาลในการแสวงหาข้อยุติ เพื่อความยุติธรรมต่อไป” นายศรีสุวรรณ ระบุ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น