วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ในหลวง” ทรงย้ำให้คนไทย รู้หน้าที่ ไม่ประมาท ขาดสติ ทำชาติเสื่อมสลาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม 2553 ประชาชนส่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้อง ทรงย้ำคนไทยมีสติรู้ตัวไม่ประมาท เข้าใจ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพราะหากประมาท ขาดสติยั้งคิด ทำให้เกิดความผิดพลาด เสียหาย เป็นอันตราย ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบ อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองและประเทศชาติได้
วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2553 เวลา 10 นาฬิกา 30 นาที ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับรถไฟฟ้าลงจากอาคารที่ชั้น 16 พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาใน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เพื่อทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน พระบรมหาราชวัง
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราช ข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เข้าสู่ถนนราชดำเนินใน โดยทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนที่เฝ้าฯ รับเสด็จ ตลอดเส้นทางจนถึงประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาจากอาคารที่ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ประชาชนซึ่งสวมเสื้อสีชมพู พร้อมโบกธงสะบัดจำนวนมากที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ได้เปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” เพื่อถวายพระพรไปตลอดเส้นทางอย่างกึกก้อง ด้วยความปลาบปลื้มปีติที่ได้ชื่นชมพระบารมี จนกระทั่งถึงพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย
กระทั่งเวลา 10 นาฬิกา 57 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับรถไฟฟ้าเข้าสู่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งมีบรรดาองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ฯลฯ เฝ้าฯ รอรับเสด็จฯอยู่ด้านใน เพื่อเตรียมกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยเนื่องในโอกาสวันมหามงคล
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงยืนเฝ้าฯ หน้าแถวพระบรมวงศ์ ด้านซ้ายพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ขณะที่ม่านหน้าที่ประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ หน้าแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตรปิดอยู่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร พร้อมแล้วเจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งแตรมโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออกยังหน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ แล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ตามลำดับ
พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาหารทหารสูงสุด พร้อมด้วยทหารทุกเหล่าทัพถวายคำสัตย์ปฏิญาณ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ ความว่า
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ขอขอบพระทัยและขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างร่วมมือร่วมมือร่วมแรงใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่าง และนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะการกระทำโดยประมาท ขาดความรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด เสียหายในหน้าที่และการกระทำโดยขาดสติยั้งคิด ขาดเหตุผล เป็นเหตุให้เกิดหลงลืมความกลัว ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองตลอดทั้งประเทศชาติได้ จึงขอให้ทุกคน ได้สังวรณ์ระวังให้มากและประคับประคองกาย ใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจตามเหตุผลของตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพื่อความมั่นคงและเพื่อประโยชน์สุขอันยั่งยืนของชาติไทยเรา ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ปราศจากภัย และอำนวยสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลให้สำเร็จผลขึ้นแก่ท่านทั่วหน้ากัน”
เวลา 11 นาฬิกา 20 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ประทับรถไฟฟ้าพระที่นั่ง ออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ กลับมายังโรงพยาบาลศิริราช ตามเส้นทางเดิม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ณ หน้าศาลาสหทัยสมาคม และหน้าศาลาลูกขุน ในพระบรมมหาราชเนืองแน่นไปด้วยประชานหลากหลายจังหวัดที่พร้อมใจกันใส่เสื้อสีชมพูมาเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง นางอรุณรัตน์ สุวรรณพิศ อายุ 55 ปี อาชีพแม่บ้าน ชาวบ้านเขตบางกอกน้อย ที่ได้ชักชวนเพื่อนบ้านเดินทางมาจับจองที่นั่งหน้าศาลาลูกขุนในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างใกล้ชิด กล่าวความรู้สึกของตัวเองว่า รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่มีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนับเป็นความโชคดีของพสกนิกรชาวไทยทุกคนที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงรัก และเป็นห่วงในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคนอย่างถ้วนหน้า นางจำปี ประไพมาลิน ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ซึ่งได้เดินทางจาก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้ เพื่อที่จะมาเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดย นางจำปี กล่าวว่าพอเธอทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกมหาสมาคมในวันที่ 5 ธ.ค.เธอจึงรีบเดินทางออกจากบ้าน เพื่อมาให้ทันเวลา พร้อมกล่าวความรู้สึกทั้งน้ำตา ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก พระองค์ทรงทำให้ชาวเขาอย่างพวกเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่ต้องระหกระเหินเป็นคนเร่ร่อนอีกต่อไป ก่อนหน้านี้ เวลา 10.00 น.ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 12 กองพันนำโดย พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ในฐานะผู้บังคับกองผสมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณครั้งนี้ ได้เคลื่อนขบวนจากหน้าประตูพระบรมมหาราชวัง ผ่านประตูวิเศษไชยศรี และเลี้ยวซ้ายที่ด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม เพื่อไปตั้งแถวเฝ้ารับเสด็จฯ ณ สนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคมอย่างพร้อมเพรียง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น