วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หมดหวัง นายกอภิสิทธิ์ ! ยื่นหนังสือ...ถึงมือ ประธานศาลปกครองสูงสุด เรื่อง โรงแยกก๊าซใหม่ ปตท. เสี่ยง

หลังจากที่ คุณศรัลย์ ธนากรภักดี ผู้ประสานงานกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด เคยยื่นหนังสือต่อ นายกอภิสิทธิ์ มาตั้งแต่ 16 มกราคม 2553 และ นายอานันท์ ปันยารชุน วันที่ 2 เมษายน 2553 ซึ่งเวลาล่วงมา 7 เดือนเศษ สำหรับการรับรู้ของภาครัฐ และ 4 เดือน สำหรับ ประธาน คกก. 4 ฝ่าย รวมถึงการยื่นคำฟ้อง ต่อศาลปกครองระยอง เมื่อ 27 พฤษภาคม 2553 ผ่านมาเกือบครบ 3 เดือน และวันที่ 20 สิงหาคม ได้ยื่นขอให้ศาลกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว โดยให้โรงแยกก๊าซใหม่ ของ ปตท. ที่เสี่ยงต่อการทรุดพัง เนื่องจากไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด ให้หยุดการทดสอบระบบทั้งหมด และตรวจสอบการทรุดตัวของโครงสร้างพิเศษสำคัญต่างๆ ก่อน หลังจากที่ทาง ปตท. พยายามออกมาแถลง และวางแผนที่จะชี้แจงต่อชุมชนต่างๆในมาบตาพุดอีกครั้ง
วันนี้ 23 สิงหาคม 2553 เวลา 10.50 น. ได้เข้ายื่นหนังสื่อต่อ ท่านอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ขณะมาเป็นประธานเปิดงาน ศาลปกครองพบประชาชน ที่โรงแรม สตาร์ ระยอง ทั้งนี้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เปิดดูรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว โดยใช้เวลาให้ความสนใจ ค่อนข้างยาวนาน
ยังคงย้ำเดิมๆอีกว่า 24 กันยายน 2553นี้ ซึ่งจะเป็นวันครบรอบ 20 ปี หายนะภัยรถก๊าซระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ผู้คนที่ทราบเรื่อง โรงแยกก๊าซใหม่ ของ ปตท. เสี่ยง มีความรู้สึกวิตกขัวญแขวน ทุกครั้งที่มีฝนตกหนัก-พายุลมแรง ซึ่งไม่รู้สึกผ่อนคลายลงจากการแถลงของ ปตท. ว่าไม่ต้องกังวล

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้อเท็จจริง-การแถลงข่าวของ ปตท. เรื่องโรงแยกก๊าซใหม่ ไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด และการขอศาลสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว

20 สิงหาคม 2553

เรื่อง กรณีการแถลงข่าวของ ปตท. เรื่องโรงแยกก๊าซใหม่ ไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด และการขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว

สืบเนื่องถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ ปตท.อ้างว่า โครงการได้มีการตรวจสอบติดตามมาตั้งแต่ขบวนการก่อสร้าง จนถึงปัจจุบัน และไม่พบการทรุดตัวที่ผิดปกติ แต่อย่างใดนั้น พร้อมกับการอ้างถึงการดำเนินการโครงการโดยมีมาตรฐานสูง มีการตรวจสอบและการควบคุมการก่อสร้างอย่างเคร่งครัดอย่างละเอียดรอบคอบทุกขั้นตอนนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ปราศจากข้อเท็จจริง จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นการกระทำให้ลักษณะหลอกลวงประชาชน และนักลงทุน

เพราะจากการติดตามเรื่องการตรวจสอบนี้ มาตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2552 ถึง มกราคม 2553 พบว่า ในส่วนของโรงแยกก๊าซอีเทน ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพราะกำลังทดสอบระบบจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของ โรงแยกก๊าซที่ 6 เพิ่งเริ่มต้นให้มีการติดตามข้อมูลเดิมจากการส่งมอบงาน ทั้งที่งานส่วนใหญ่แล้วเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2551 และพบอีกว่ามีการทรุดตัวจำนวนมากในเดือน พฤษภาคม 2552 แล้วมีการซ่อมสร้างใหม่ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบติดตามอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งค่าทรุดตัวที่ยอมรับได้ ในข้อกำหนดของการออกแบบนั้นน้อยมาก คือ ทรุดได้เพียง 10-15 มม. (หนาเท่าฝายาหม่องเท่านั้น) ซึ่งถ้ามีการทรุดตัวมากกว่านี้ อาจจะส่งผลกระทบไปยังข้อต่อต่างๆหรือทำให้เกิดการฉีกขาด รั่วพังของระบบท่อหรือเครื่องจักรได้

ฝายาหม่องมีความหนา 10 มม. เท่ากับค่าทรุดตัวที่ยอมรับได้ตามข้อกำหนดในการออกแบบหรือ สเปคของงานฐานราก

การอ้างว่า ปตท.ได้ออกแบบและก่อสร้างตามหลักมาตรฐานทางวิศวกรรมที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ภายใต้การตรวจสอบควบคุมโดยบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน

ในแบบก่อสร้างและข้อกำหนดงานดินในงานฐานรากตื้นต่างๆ ของโรงแยกก๊าซ ปตท. ไม่มีการกำหนดหรือระบุค่ารับน้ำหนักปลอดภัยของดินที่ใช้ในการออกแบบ แต่มีระบุค่าความแข็งแรงของวัสดุอื่น เช่น เหล็กเสริม คอนกรีต และคอนกรีตหยาบไว้อย่างชัดเจน ทั้งที่สาระสำคัญของฐานรากตื้นไม่มีเสาเข็มนั้น ขึ้นอยู่กับค่าการรับน้ำหนักได้ของดินเป็นสำคัญ และต้องใช้ในการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างฐานรากตื้น และค่ารับน้ำหนักของดินสูงมากๆนี้ไม่มีการอ้างถึงเลยโดยตลอดในช่วงมีการก่อสร้าง

เสมือน การสร้างคอนโดสูง 10 ชั้นโดยไม่ตอกเสาเข็ม คนสร้างขายบอกว่าแข็งแรง แต่คนซื้อกล้าเข้าไปอยู่มั้ย?!”

จึงได้นำเรื่องข้อเท็จจริงนี้มาขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์โดยมีคำสั่งให้ หยุดการดำเนินการต่างๆ ของโรงแยกก๊าซ ที่ 6 และโรงแยกก๊าซอีเทน ของ ปตท. เพื่อให้มีขบวนการตรวจสอบการทรุดตัวของโครงสร้างต่างๆ ให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณา และหยุดยั้งความเสี่ยงสูงมากที่มาจากปัญหาฝนตกหนักพายุลมแรงในช่วงนี้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุสลดที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ และเพื่อจะได้เป็นข้อมูลความจริงที่ชัดเจนถี่ถ้วน ประกอบการวินิจฉัยฯ

ขอแสดงความนับถือ

ศรัลย์ ธนากรภักดี

ผู้ประสานงานกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น

081-3574725 WebBlog: http://airfresh-society.blogspot.com/

มีการซ่อมสร้างใหม่จำนวนมาก ซึ่งด้านล่างเป็นเพียงบางส่วน

แบบก่อสร้างฐานราก ระบุความแข็งแรงและชนิดของ คอนกรีต เหล็กเสริม แต่ทำไม ไม่ระบุความแข็งแรงหนาแน่นของดิน ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้ได้ ตรงกับการออกแบบ

ปตท. แจงว่า ออกแบบและก่อสร้างตามหลักมาตรฐานทางวิศวกรรมที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ภายใต้การตรวจสอบควบคุมโดยบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน

การตรวจสอบการทรุดตัวที่อ้างว่า ทำมาโดยตลอด ซึ่งงานฐานรากทั้งหมด เสร็จปลายปี 2551 และพบมีการทรุดตัวจำนวนมาก มีการรื้อซ่อมสร้างใหม่ เดือน พฤษภาคม 2552 แต่ไม่มีการติดตามตรวจสอบ รายงานการตรวจสอบ ถูกทำขึ้นเมื่อ เดือน มกราคม 2553

ลักษณะการทำงาน ในจุดขุดลึก 10-12 ม. ที่ดำเนินการโดยขาดความปลอดภัย โชคดีที่ดินไม่ถล่มลงมาทับคนงาน การทำงานที่เร่งรัดเร่งด่วนมาก จนละเลยความปลอดภัย ลักษณะดินในจุดขุดลึก เป็นดินโคลนขาว เหมือนดินโคลนจากการขุดสร้างถนน ขณะที่แห้งจะแข็งมากแต่พอโดนน้ำ เหยียบลงไป จะมิดลงถึงหัวเข่า ดินชั้นบนเป็นดินลูกรังที่ปรับถมใหม่ ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อ มกราคม 2551 การทดสอบดินแล้วเสร็จ กุมภาพันธ์ 2551 การก่อสร้าง ฐานราก มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551 ประมาณ 5 เดือน

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มาตรฐานใหม่ อุตสาหกรรมไทย โรงงานขนาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องตอกเสาเข็มฐานราก แค่อ้างว่าดินแข็งแรงมาก และมีบริษัทฝรั่งคุมงานก่อสร้างให้

มาตรฐานใหม่ อุตสาหกรรมไทย โรงงานขนาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องตอกเสาเข็ม แค่อ้างว่าดินแข็งแรง มีฝรั่งควบคุมงาน เลยมีมาตรฐานสูง - ปตท. การันตี ไม่มีทรุดพัง แม้โรงแยกก๊าซใหม่ ไม่ตอกเสาเข็มทั้งหมด เพราะดินแข็งแรงมาก อีกทั้งมีฝรั่งควบคุมงาน เกาหลีก่อสร้างให้ ตรวจสอบเองแล้ว ทุกอย่างไม่ทรุดเลย แม้แต่เซ็นต์เดียว - http://khonmaptaphut.blogspot.com/2010/08/blog-post_16.html

ภาคประชาชนจี้เอกชนรายใหญ่ในมาบตาพุด 20 โครงการต้องทำเอชไอเอใหม่ เพราะไม่ถูกตามหลักเกณฑ์

วันนี้ (16 ส.ค.) นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เปิดเผยภายหลังการยื่นหนังสือ ต่อนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บริษัทปตท. และบริษัทสยามซีเมนต์ กรุ๊ป ว่า ทางเครือข่ายมีข้อเรียกร้องจำนวน 4 ข้อ ประกอบด้วย 1. ต้องการให้ส.อ.ท.รวมถึงบริษัทในโครงการต่างๆ จำนวน 20 โครงการ พิจารณากระบวนการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) ใหม่ เนื่องจากพบว่ามีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ผิดขั้นตอนตามเนื้อหาทางกฎหมาย โดยให้ผู้ประกอบการตอบกลับภายใน 7 วัน หากไม่ตอบกลับก็จะมีมาตรการอื่นๆ ตามมา ทั้งนี้ แนวทางการปฏิบัติตามเอชไอเอที่ไม่ถูกต้อง เช่น แจ้งสาธารณชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังความเห็นไม่ครบ 1 เดือน ไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน และเปิดเผยเอกสารไม่ถึง 15 วัน, มีการ จัดเวทีรับฟังความเห็นหลายโครงการพร้อมกัน ไม่สามารถเข้ารับฟังได้ครบ, เนื้อหาในเอกสารไม่ครบถ้วน เป็นต้น ซึ่งเหตุอาจเกิดจากความรีบร้อน เพราะมีภาระด้านการเงิน และการทำเอชไอเอเป็นกระบวนการใหม่ จึงอาจมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างทำให้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการทำเอชไอเอ สำหรับโครงการที่เข้าข่ายดังกล่าว เช่น โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 ของบริษัทปตท. โครงการโรงงานโอเลฟินส์และโครงการเปลี่ยนแปลงรายรายละเอียดโครงการโรงงานโอเลฟินส์ ของบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ เป็นต้น สำหรับข้อเสนอที่ 2. ต้องการให้ส.อ.ท.ตั้งคณะกรรมการร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงในการก่อสร้างอาคารโรงงานของทุกโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างละเอียด เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่มั่นใจว่าการก่อสร้างโรงงานไม่ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง เช่น ไม่มีการตอกเสาเข็ม เป็นต้น จึงต้องการให้มีการตรวจสอบข้อจริง เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายที่ร้ายแรง ข้อ 3. เครือข่ายฯ ขอมีส่วนร่วมในโครงการ “เพื่อนชุมชน ความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมไทย” เนื่องจากสนับสนุนแนวความคิดของโครงการดังกล่าว ซึ่งหลักการและเหตุผล รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติ ต้องการการมีส่วนร่วมร่วมจากทุกภาคส่วน และข้อ ที่ 4. ต้องการให้บริษัทที่ลงทุนอยู่ในพื้นที่ทำแผนการลงทุนให้ชัดเจนในระยะเวลา 5 ปี เพื่อให้ชุมชนเห็นภาพ และสามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมถึงต้องการ ให้ทบทวนแผนขนยายการลงทุนภายใต้การพัฒนารูปแบบอื่น ไม่ใช่ขยายพื้นที่เพื่ออุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว

PTT ยันมาตรฐานความปลอดภัยสูงในการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6

โครงการในพื้นที่รับน้ำ-น้ำท่วมเมื่อฝนตกหนัก - ข้อกำหนดก่อสร้างยอมให้ทรุดได้เพียง 1.0-1.5 เซ็นติเมตร แค่ความหนาของฝายาหม่อง อ้างเฉยไม่มีทรุดเลย เป็นไปได้...จริงหรือ!!!

ปตท.ยืนยันการก่อสร้างโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ได้มาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังการทรุดตัวของฐานราก เล็งประชุมแจงต่อชุมชนเร็วๆนี้

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ชี้แจงถึงกรณีที่ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกแสดงความกังวลต่อการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่6 การจัดทำรายงาน HIA และการมีส่วนร่วมของชุมชนในกิจกรรมต่างๆ ว่า

การดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 และโรงแยกก๊าซอีเทนนั้น ปตท. ได้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างตามหลักมาตรฐานทางวิศวกรรมที่กำหนดไว้อย่าง เคร่งครัด ภายใต้การตรวจสอบควบคุมโดยบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างละเอียดในทุก ขั้นตอน โดยได้ดำเนินการวิเคราะห์ชนิดและลักษณะของดินในพื้นที่ตั้งโครงการตามหลัก วิศวกรรมฐานรากและปฐพีกลศาสตร์ พบว่าดินส่วนใหญ่โดยทั่วไป เป็นดินคุณภาพดีโดยเป็นดินแน่นถึงแน่นมาก และดินแข็งถึงแข็งมาก

- ข้อมูลถูกปกปิดระหว่างการก่อสร้าง ไม่มีวิศวกรสนามรู้ว่า ปตท. ใช้ค่ารับน้ำหนักดินสูงมากในการออกแบบ อ่าน 7 ความเสี่ยงเรื่องการทรุดพัง http://airfresh-society.blogspot.com/2010/08/5.html

อย่างไรก็ดี ปตท. ยังได้ปรับปรุงคุณภาพดินและบดอัดเพิ่มเติม ตามหลักทางด้านวิศวกรรมฐานรากเพื่อความปลอดภัยสูงสุด และทำการทดสอบกำลังรับน้ำหนักของดินตามขั้นตอนอีกขั้นหนึ่ง ส่วนการออกแบบฐานรากเพื่อรองรับน้ำหนักโครงสร้าง ได้มีการตรวจสอบและลงนามรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจตามกฎหมาย และทั้งสองโครงการได้ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง

- ขออนุญาตกับเทศบาล โดยอ้างค่ารับน้ำหนักดินสูงมาก ฐานรากทั้งหมดจึงไม่จำเป็นต้องใช้เสาเข็ม อ่านการทดสอบดิน ที่โรงงานข้างเคียงทำไมใช้เสาเข็มเจาะ และโรงงานอื่นๆ ตอกเสาเข็ม http://khonmaptaphut.blogspot.com/2010/08/blog-post_4078.html

นอกจากนั้น ปตท. ยังมีมาตรการเฝ้าระวังการทรุดตัวของฐานรากอย่างเป็นระบบ โดยผลจากการตรวจสอบค่าระดับอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มงานติดตั้งโครงสร้างฐานราก จนกระทั่งก่อสร้างแล้วเสร็จและยังคงทำการตรวจสอบอยู่จนถึงปัจจุบันนั้น ปรากฏว่า ไม่พบการทรุดตัวที่ผิดปกติแต่อย่างใด

- ไม่มีการตรวจสอบ ตั้งแต่ พ.ค. 2552 มีการซ่อมสร้างใหม่ และโรงแยกก๊าซอีเทน อยู่ระหว่างการทดสอบระบบมาโดยตลอด ในพื้นที่โรงแยกก๊าซที่ 6 มีการทดสอบระบบท่อ มาตั้งแต่ เดือน มกราคม 2553 ค่าทรุดตัวที่ยอมรับได้ 1.0-1.5 เซนติเมตร เท่านั้น ตามข้อกำหนดการออกแบบฐานรากดูค่าทรุดตัวที่ยอมรับได้ในสเปค ของ ปตท. เอง http://khonmaptaphut.blogspot.com/2010/08/blog-post_8976.html

ทั้งนี้ ปตท. จะจัดการประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน เรื่องความปลอดภัยในการดำเนินโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 และโครงการโรงแยกก๊าซอีเทนของ ปตท. อีกครั้งในเร็วๆ นี้ หลังจากที่ได้มีการชี้แจงกับชุมชน สื่อมวลชนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

- ชาวบ้านส่วนใหญ่ ไม่รู้เรื่องงานวิศวกรรม รับรู้ว่า ปตท. ใช้ผู้เชี่ยวชาญ อธิบาย แต่ไม่เข้าใจ เสาวิทยุ ยังต้องตอกเสาเข็มมีสลิงโยงยึด แต่หอกลั่น สูงเท่าตึก 10 ชั้น กลับตั้งไว้เฉยๆ คำชี้แจงไม่ช่วยลดความเสี่ยง ปตท. ต้องหยุดการทดสอบระบบ เพื่อตรวจสอบก่อน ว่าที่ทรุดอยู่เกินข้อกำหนดของ ปตท. ที่เขียนไว้เองหรือไม่

สำหรับกรณี การจัดทำรายงานประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ของโครงการกลุ่ม ปตท. ตามบัญชีรายชื่อ 76 โครงการนั้น ทุกโครงการต่างมีเจตนารมณ์ที่จะดำเนินการจัดทำรายงาน HIA ไม่ว่าโครงการดังกล่าวจะเข้าข่ายอยู่ในประเภทกิจการที่อาจมีผลกระทบอย่าง รุนแรงหรือไม่ก็ตาม โดยความคืบหน้าในปัจจุบัน อยู่ในขั้นตอนการจัดทำรายงาน HIA และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของชุมชนรอบพื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้

- จ้างคนไปฟัง แล้วคนที่ถูกจ้างไป จะบอกว่าไม่ดีไม่ถูก หรือ!!! มีคนส่วนเล็กๆแถลงแย้ง แต่ถูกจ้องราวกับจะถูกคนส่วนใหญ่รุมทึ้ง

"ปตท. ขอยืนยันว่า กลุ่ม ปตท. มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานบนมาตรฐานระดับสากล ด้วยความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมส่วนรวม รวมทั้ง ยังให้ความสำคัญกับการเปิดรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากชุมชนรอบพื้นที่ เพื่อให้อุตสาหกรรมและชุมชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน"

- ปตท. ควรนำค่าโฆษณา สร้างภาพ จำนวนมาก มาซ่อมสร้างโรงงานให้แข็งแรงก่อน จะดีกว่า การทิ้งความเสี่ยง ให้ทรุดพัง อาจระเบิดรุนแรงลุกลาม ก่อให้เกิดหายนะต่อชีวิต ชุมชน และโรงงานอื่นๆ จำนวนมาก

--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

จากภาพ โรงงานของ ROC ซึ่งอยู่บนเนิน ก่อนถึงโรงแยกก๊าซ ปตท.
ตอกเสาเข็มจำนวนมาก ขณะทำการก่อสร้าง
แต่โรงแยกก๊าซใหม่ ปตท. พื้นที่ร่องน้ำ แอ่งน้ำท่วมขัง อ้างว่าดินแข็งแรงมาก
จนไม่มีความจำเป็นต้องตอกเสาเข็ม อ้างว่ามี บ.ฝรั่ง ตรวจสอบ-ควบคุมงานให้
ตามไปดูว่า ... ขบวนการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ภายใต้การควบคุมของ บริษัทวิศวกรที่ปรึกษาระดับโลกอย่างละเอียดในทุก ขั้นตอน ทำกันอย่างไร
ตัวอย่าง การตรวจสอบการทรุดตัว เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารในการประชุม ซึ่ง ปตท.อ้างว่าได้ทำการตรวจสอบมาอย่างเป็นระบบโดยตลอด การบันทึกที่ทำในเดือน ม.ค.53 แสดงถึงการบันทึกข้อมูล ระหว่าง เดือน ก.ค.52 ถึง เดือน พ.ย. 52 ที่รายมือเดียวกัน ปากกาแ่ท่งเดียวกัน การรายงานการตรวจสอบ ที่ใช้ระยะเวลา 5 เดือน อะไรที่บอกว่า เสี่ยงสูง ก้อมันมาจากวิธีการดำเนินการ ของ ปตท. เอง ที่ขาดความจริงใจ

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปัญหามาบตาพุด ช้าเพราะใคร กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ หรือรอให้ ประชาชนมอดไหม้ก่อน

"อภิสิทธิ์" ระบุการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมล่าช้า เพราะ 3 กระทรวงกลัวเอกชนฟ้อง เลี่ยงบังคับใช้กม.ของตัวเอง – หรือเพราะ ... การบริหารจัดการของรัฐบาลชุดนี้ล่าช้า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.45 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ฐานะประธานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาวิชาการเรื่อง “การทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสารเคมีจ.ระยอง ตามกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
วันนี้ นายรังษี จุ้ยมณี ปธ.ฝ่ายสิ่งแวดล้อม หอการค้าระยอง ได้ไปยื่นหนังสือกับนายกอภิสิทธิ์อีกครั้ง เรื่องโรงแยกก๊าซ ปตท. เสี่ยงไม่ตอกเสาเข็มฐานรากทั้งหมด และมีการอภิปรายประเด็นนี้ต่อโดย ตัวแทนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ทั้งที่เรื่องราวนี้ นายกอภิสิทธิ์รับไปกับมือ เมื่อ 16 มกราคม 2553 ที่มาบตาพุด ผ่านมา 7 เดือนแล้ว กำลังจะเป็นปัญหาร้อนของมาบตาพุด ขณะนี้ ทั้งนี้ ก่อนเริ่มงาน ท่านผู้หญิง ดร.สุธาวัลย์ เสถียรไทย ประธานคณะกรรมการศึกษา สนับสนุนและติดตามผลกานดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพ มาให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรี และมีการเปิดวีดีทัศน์เรื่อง “อุบัติภัยสารเคมี ความลับที่รู้เมื่อสาย” ให้นายกฯ และผู้ร่วมงานได้ชม จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสารเคมีกับความเชื่อมั่นของประชาชน” ว่าอยากจะย้ำคือรัฐบาลมีความตั้งใจแก้ปัญหามาบตาพุดและปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ อยู่บนพื้นฐานสำคัญ 4 ประการ ประการแรก คือ จะต้องมีระบบข้อมูลและระบบการมีส่วนร่วมที่เป็นหัวใจสำคัญ และการมีส่วนร่วมเพื่อไปสู่ข้อสรุปและแนวทางบนความสร้างสรรค์ต้องมีข้อมูลเพียงพอ ประการที่สอง คือ การพัฒนาบุคลากร เพราะปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงเทคนิคและต้องมีความรู้เรื่องของสารเคมี เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ที่น่าตกใจคือในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเองที่บุคลากรด้านอาชีวะเวชศาสตร์ไม่มีเลย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องมีการดำเนินการเพื่อสร้างบุคลากรส่วนนี้ขึ้นมา ประการที่สาม คือ การประสานงานระหว่างหน่วยงานราชการ ทั้งส่วนภูมิภาค ส่วนกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปัญหาหลายครั้งก็เกิดจากการบูรณาการ หรือปัญหาเกิดจากการที่บางครั้งเรามีกฎหมายเพื่อเข้ามาทำเรื่องเดียวกันมากเกินไป ซึ่งมีบางพื้นที่ที่ไม่ใช่ที่มาบตาพุดจังหวัดระยอง แต่เป็นพื้นที่อื่น ปัญหามลพิษประชาชนได้รับผลบกระทบเชิงสุขภาพอย่างชัดเจน แต่ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าฟันธงว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากใคร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็บอกว่าน่าจะไปใช้กฎหมายโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมก็บอกว่าน่าจะใช้กฎหมายสาธารณสุข แต่กระทรวงสาธารณสุขก็บอกว่าน่าจะใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม "สามหน่วยงานกฎหมายสามฉบับ เหตุผลที่ไม่มีใครอยากใช้กฎหมายของตัวเอง เพราะไม่มีใครอยากถูกฟ้องจากเอกชน ว่าถ้าไปใช้อำนาจก็เป็นปัญหาที่น่าตกใจมาก ซึ่งขณะนี้ได้ให้ นายชัยวุฒิ บรรรวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ไปดูแล และการจะใช้อำนาจจะขอความร่วมมือจากกะทรวงสาธารณสุข ให้ดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชน อย่างต่อเนื่อง" นายกฯ กล่าวอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานต่อครม.ถึงพื้นที่มาบตาพุดว่ากำลังไปไล่ดูว่าการไม่ปฏิบัติตามอีไอเอและข้อกฎหมายมีมากน้อยแค่ไหน รวมถึงตรวจสอบกรณีของถังแก๊สล้มแล้วรั่วและเหตุการทั้งหมดก่อนที่จะมีการอนุญาตเพื่อให้มีความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นสุดท้าย คือ การติดตามและประเมินผล ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยความเข้มแข็งของประชาชนต้องพึ่งพาระบบอาสาสมัคร และที่สำคัญต้องสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้ถ้าเราปรับปรุงในสี่ด้านนี้ได้ก็น่าจะทำให้การแก้ไขมีระบบและดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่จะเป็นรูปธรรมของการมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น นายกฯ กล่าวถึงปัญหาสารเคมีของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองว่า แนวคิดการปรับปรุงของรัฐบาล คือ 1. เชิงยุทธศาสตร์การพัฒนา ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันกออกสิบปีที่ผ่านมาพบว่าหลังมีการพัฒนาระยะหนึ่งตามแผน พบว่าการวางผังเมืองไม่เป็นตามแนวทาง จึงเป็นจุดอ่อนของปัญหาที่หน่วยงานมองแต่การแก้ปัญหาของตัวเอง เมื่อการพัฒนาขยายตัวก็เกิดปัญหาเชิงระบบ ขาดระบบกลไกแก้ไขที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งบทเรียนจากพื้นที่นั้นทำให้การกำหนดแนวทางชัดเจนว่าการพัฒนาต้องวางแผนและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของชุมชน 2. การแก้ไขปัญหาหลายจุดเกิดจากค่านิยมพื้นในที่ที่เป็นเรื่องของสังคมไทยคือการบังคับใช้กฎหมาย สิ่งแวดดล้อม ที่มีการกำหนดอีไอเอแต่เมื่อมีการทำรายงานไปแล้วยังพบว่าการติดตาม-ประเมินยังเป็นจุดอ่อนอยู่มาก 3. วัฒนธรรมเกี่ยวกับความปลอดภัย การประกอบการ การขนส่งคมนาคม รัฐบาลจึงกำหนดให้ปี 53 ต้องเป็นปีแห่งความปลอดภัยที่จะเป็นกรอบให้ทุกภาคส่วนสามารถปฏิบัติงานด้านเป็นระบบอย่างบูรณาการ สถานการณ์และข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง มติคณะรัฐมนตรี -- พุธที่ 11 สิงหาคม 2553 13:43:40 น. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบสถานการณ์และข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เสนอและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ สช. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของคณะทำงานที่จะจัดตั้งขึ้นให้มีผู้แทนของกรมโรงงาน อุตสาหกรรมร่วมเป็นคณะทำงานด้วย สาระสำคัญของเรื่อง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) รายงานว่า 1. ในการประชุม คสช. ครั้งที่ 4/2551 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คสช. ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอข้อเสนอ เชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพ : กรณีผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่จังหวัดระยองต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษา สนับสนุน และติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของ คสช. ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพ : กรณีผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง ซึ่งได้มีการนำเสนอรายงานความ คืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการศึกษา สนับสนุนฯ ให้สศช. ได้ทราบอย่างต่อเนื่อง 2. ในการประชุม คสช. ครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2553 คสช. รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานของคณะกรรมการศึกษา สนับสนุนฯ โดยเฉพาะรายงานการศึกษาสถานการณ์การแก้ไขปัญหาเหตุการณ์อุบัติภัยสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์รั่วไหลออกจากถังกักเก็บของบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมเหมราชตะวันออก (มาบตาพุด) จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสารเคมีหลายชนิด เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ดังมีสถานการณ์และข้อเสนอโดยสรุป ดังนี้ 2.1 สาเหตุและผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในบริเวณโดยรอบ เหตุการณ์เกิดจากถังสารโซเดียมไฮโปรคลอไรท์ล้มกระแทกกับกำแพงซีเมนต์แล้วตกกระแทกกับท่อกรดไฮโดรคลอริก (HCI) ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีเป็นก๊ษซคลอรีนมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวและทำลายระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาบตาพุด จำนวน 1,434 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต 2.2 ข้อบกพร่องของระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหล จากการวิเคราะห์มาตรการตามรายงานอีไอเอ คณะกรรมการศึกษา สนับสนุนฯ ได้พบ ข้อบกพร่อง ดังต่อไปนี้ 2.2.1 ไม่มีการประเมินผลกระทบและไม่มีกำหนดมาตรการป้องกันหรือเฝ้าระวังรวมทั้งแผนรับมือจากการเกิดอุบัติภัยจากสารเคมี 2.2.2 คนงานก่อสร้างจำนวนมากในโรงงานพีทีที อาซาฮี ซึ่งได้รับผลกระทบทันทีจากโรงงานต้นเหตุ ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยใด ๆ 2.2.3 โรงพยาบาลมาบตาพุด มีสถานที่และบุคลากรไม่เพียงพอในการรับมือกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารเคมี 2.2.4 จำนวนถังเก็บสารเคมีที่โรงงานชี้แจงกับในรายงานอีไอเอไม่ตรงกัน 2.2.5 เมื่อเกิดเหตุทางบริษัทแจ้งให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทราบเพียงแห่งเดียว ไม่ได้แจ้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องได้รับทราบด้วย จึงเกิดความล่าช้าในการป้องกันและแก้ไขปัญหา 2.2.6 การแจ้งข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) ของการนิคมฯ ขาดข้อมูลที่สำคัญหลายส่วน เช่น ชื่อสารเคมีที่เกิดการรั่วไหล ทิศทางการแพร่กระจายของสารเคมีและแนวทางในการป้องกันตนเอง และจำนวนผู้รับข้อความมีจำนวนน้อยเกินไป (ประมาณ 400 คน) 2.2.7 ไม่มีการแจ้งเหตุหรือสัญญาณเตือนภัยกับชุมชน 2.2.8 ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยไม่ทราบแนวทางการอพยพและการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติภัย 2.3 ประเด็นปัญหา จากการวิเคราะห์ภาพรวมของระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงพบประเด็นปัญหา ดังนี้ 2.3.1 การแบ่งระดับของเหตุฉุกเฉินและการแจ้งเหตุกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า แต่ละโรงงานมีการแบ่งระดับของเหตุฉุกเฉินและขั้นตอนในการสื่อสารกับการนิคมฯ ไม่เหมือนกัน และแตกต่างจากการนิคมฯ และหน่วยงานอื่นๆ นอกจากนี้ เกณฑ์การแบ่งระดับที่ว่าหากเป็นเหตุฉุกเฉินระดับหนึ่ง โรงงานจะไม่แจ้งเหตุกับหน่วยงานใดเลยต้องมีความร้ายแรงระดับสองและสาม จึงจะมีการแจ้งการนิคมฯ ทำให้เกิดปัญหาที่โรงงานไม่สามารถแจ้งเหตุและ รับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 2.3.2 ในขั้นตอนการเผชิญเหตุของทางโรงงานไม่มีการตรวจวัดค่าความเข้มข้นของมลพิษอากาศในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่ควรดำเนินการเพื่อเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับฝ่ายต่างๆ เช่น โรงพยาบาล และหน่วยเผชิญภัย เป็นต้น 2.3.3 ในขั้นตอนการประกาศเหตุฉุกเฉินของหน่วยราชการ พบว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองมีการประกาศเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากจำเป็นต้องย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลมาบตาพุด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้วยในขณะที่ทางจังหวัดระยองมีการดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ไม่มีการประกาศเหตุฉุกเฉิน จึงเกิดอุปสรรคในหลายด้าน เช่น บุคลากรสาธารณสุขต้องไปจัดการจราจรแทนที่จะเป็นตำรวจจราจรออกมาทำหน้าที่ตามการประกาศเหตุฉุกเฉินของจังหวัด เป็นต้น 2.3.4 การเยียวยาและความรับผิด พบว่า (1) การตรวจสอบสาเหตุของอุบัติภัยที่เกิดขึ้น และแนวทางการแก้ไขปรับปรุง ดำเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษาซึ่งรับค่าจ้างจากบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงาน ต้นเหตุ จึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อถือได้และความโปร่งใสของการตรวจสอบ (2) การรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บเป็นระยะเวลา 7 วันของทางบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์ (ประเทศไทย) จำกัด มีเพียงแนวทางกว้าง ๆ แต่ยังไม่ชัดเจนถึงขอบเขตความรับผิดชอบและผู้ได้รับผลกระทบ เช่น คนงานและชาวบ้านยังไม่ทราบ หรือยังสับสนไม่ชัดเจน จึงยังไม่ได้ไปโรงพยาบาล (3) การเยียวยาและความรับผิดชอบอื่นๆ ของบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังไม่ชัดเจน เช่น ค่าชดเชยการเจ็บป่วย ผลกระทบและความเสียหายต่อพืชและการประกอบอาชีพของชาวบ้าน ความรับผิดทางอาญา และความรับผิดทางแพ่งอื่นๆ 2.4 ข้อเสนอต่อการปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ ใกล้เคียง คณะกรรมการศึกษา สนับสนุนฯ มีข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ 2.4.1 พัฒนาระบบการแบ่งระดับของเหตุฉุกเฉินให้สอดคล้องกันทุกโรงงานและหน่วยงาน 2.4.2 กำหนดให้โรงงานต้องแจ้งไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีฉุกเฉินในทุกระดับ โดยความรุนแรงระดับหนึ่งอาจแจ้งบางหน่วยงาน แต่ต้องไม่จำกัดเฉพาะการนิคมฯ ควรรวมถึงหน่วยงานสาธารณสุข (สายด่วน 1699) และป้องกันภัยจังหวัดด้วย ส่วนความรุนแรงระดับสอง และสามต้องแจ้งหน่วยงานและชุมชนทันที 2.4.3 กำหนดมาตรการและขั้นตอนในการเผชิญเหตุการระงับและการแก้ไขให้ครบถ้วน ชัดเจน โดยต้องมีการบังคับใช้อย่างจริงจังและมีการลงโทษที่เหมาะสม 2.4.4 ทางจังหวัดต้องตัดสินใจประกาศเหตุฉุกเฉินให้เหมาะสมกับสถานการณ์อุบัติภัย เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ออกมาทำหน้าที่อย่างเป็นทางการและเป็นระบบโดยมีการประสานงานที่ดี 2.4.5 การสืบสวนกรณีการเกิดอุบัติภัย (After Incident Investigation) ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและต้องไม่รับค่าจ้างและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโรงงานต้นเหตุ และต้องสืบสวนให้แล้วเสร็จโดยไม่ล่าช้าเกินไปและเปิดเผยรายงานต่อสาธารณะ 2.4.6 บริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยให้มีการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางแพ่ง ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ค่าความเสียหายต่อพืชและการประกอบอาชีพของชาวบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความรับผิดทางอาญา 2.5 มติ คสช. ครั้งที่ 3/2553 วันที่ 18 มิถุนายน 2553 คสช. มีมติรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานคณะกรรมการศึกษา สนับสนุนฯ กรณีการแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง และให้นำสถานการณ์และข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป --ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 สิงหาคม 2553--จบ—
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 เรื่อง ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุด ครั้งที่ 1/2553 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุด ครั้งที่ 1/2553 สาระสำคัญของเรื่อง 1. กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (25 พฤษภาคม 2553) ได้มอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมประสานบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ดำเนินการติดตังสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบเขตประกอบการพร้อมอุปกรณ์ตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยและป้ายแสดงผล โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินงานโครงการพัฒนาการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการสาธารณสุขชุมชนโดยรอบเขตประกอบการอุตสาหกรรม โดยมีความคืบหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพระบบเฝ้าระวังในสถานีตรวจวัด สรุปได้ดังนี้ 1.1 การติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ : บริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 4 สถานี คงเหลืออีก 1 สถานี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายเดือนมิถุนายน 2553 โดยทุกสถานีสามารถตรวจวัดสารมลพิษหลัก ได้แก่ SO2, Nox, และ PM10 1.2 การจัดหารถตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (1 คัน) และชุดตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่เร็ว (2 ชุด) : บริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยรถตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศสามารถตรวจวัด SO2,Nox,O3, PM10,CO และสารอินทรีย์ระเหยในรูปของ NMHC และ BTEX ส่วนชุดตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่เร็วสามารถวัด SO2,Nox, PM10 และ NMHC 1.3 การติดตั้งป้ายแสดงผล (Display board) ในสถานที่สาธารณะ : บริษัทฯ จะได้ทำการ ติดตั้งป้ายแสดงผล จำนวน 2 จุด และมีแผนจะติดตั้งอีก 1 จุด ซึ่งอยู่ระหว่างการกำหนดสถานที่ที่เหมาะสม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2553 1.4 การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลสิ่งแวดล้อม : บริษัทฯ ได้จัดทำข้อมูลสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 2. ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม จะได้กำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานต่อไป --ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 สิงหาคม 2553--จบ— "มาร์ค"เร่งล้อมคอก พื้นที่กันชน เขตอุตสาหกรรม ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ ตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ พัฒนาคุณภาพบุคลากรให้มีความรู้ด้านเคมี รวมทั้งเชื่อมโยงกับหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบในเรื่องของ กฎหมาย… นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าววันนี้ (11 ส.ค.) ระหว่างปาฐกถาเปิดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง"การทบทวนและปรับปรุง ยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557"หัวข้อ"ยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเคมีกับความเชื่อ มั่นของประชาชน"ของคณะกรรมการศึกษาสนับสนุน และติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติว่าด้วยการ แก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพ : กรณีผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ตอนหนึ่งว่า อุบัติภัยที่เกิดจากสารเคมีที่มาจากเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุด รัฐบาลได้พยายามที่จะปรับปรุงการทำงานและแก้ไขปัญหามาโดยตลอด อาทิ การให้ความสำคัญกับกระบวนการการพัฒนาที่ยั่งยืน การบังคับใช้กฎหมาย การติดตามหรือการประเมินว่าได้มีการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ตลอดจนการขนส่ง คมนาคม นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สิ่งแรกที่รัฐบาลได้ดำเนินการ คือ การประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งเป็นการประกาศตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หลังจากที่มีคดีความขึ้นสู่ศาลปกครอง แม้จะเป็นคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดก็ตามแต่การตัดสินใจตรงนี้ได้ใช้หลักการว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษ จะเป็นแนวทางที่ทำให้ตัวจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอโครงการหรือมาตรการต่างๆ ที่จะบรรเทาผลกระทบจากเรื่องของมลพิษ ปัจจุบันคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีการอนุมัติโครงการตามข้อเสนอ กลไกตาม เขตควบคุมมลพิษที่ได้มีการนำเสนอมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำจัดขยะ หรือของเสียต่างๆ เป็นต้น นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หลังจากที่มีปัญหาเกิดขึ้นกับการดำเนินการตามมาตร 67 วรรคสอง ทางรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ขณะนี้ได้มีการเร่งผลักดันในเรื่องของระบบข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบันให้ ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้อนุมัติเรื่องการปรับปรุงในส่วนการให้บริการของโรงพยาบาล และการตรวจสุขภาพ ในพื้นที่ แต่ปัญหาใหญ่ที่จะต้องเร่งดำเนินการคือ การจัดสรรพื้นที่ที่เป็นกันชนระหว่างชุมชนกับอุตสาหกรรมที่ต่างมีการขยายตัว เข้าหา รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบบนพื้นฐานระบบข้อมูลและระบบ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ที่เคยได้รับความเดือดร้อน ตลอดจนตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นระบบข้อมูลจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้กระบวนนี้ สามารถเดินไปได้ นอกจากนี้จะพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในเชิงเทคนิค ความรู้ในเรื่องของสารเคมีต่างๆ ควบคู่กับการประสานงานระหว่างหน่วยงานราชการ ทั้งส่วนภูมิภาค ส่วนกลาง และองค์กรปกครองท้องถิ่นให้เกิดการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องอาศัยทั้งความเข้มแข็งของภาคประชาชน และพึ่งพาระบบอาสาสมัครในระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อมโยงกับหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบในเรื่องของ กฎหมาย ความเป็นรูปธรรมของการมีส่วนร่วม และการแลกเปลี่ยนข้อมูล การบูรณาการในส่วนของการทำงานของหน่วยงาน

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อุบัติภัยสารเคมี จากการล้มพังของถังคลอรีน มีผู้ป่วยสูงถึง 1,434 คน

นพ.มารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า ที่ประชุมครม.ยังเห็นชอบสถานการณ์และข้อเสนอเพื่อปรับปรุงระบบรองรับอุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียง ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ จากการประชุม คสช.เมื่อ 18 มิ.ย.53 คสช.รับทราบรายงานการศึกษาสถานการณ์การแก้ไขปัญหาเหตุการณ์อุบัติภัยสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์รั่วไหลออกจากถังกักเก็บของบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลล์(ประเทศไทย)จำกัด ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมเหมราชตะวันออก(มาบตาพุด) จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสารเคมีหลายชนิด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.53 ส่งผลให้มีผู้ต้องเข้ารับการรักษาใน รพ.มาบตาพุด ถึง 1,434 คน แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต.

IRPC ติดตั้งอุปกรณ์จัดการคุณภาพสวล.ที่มาบตาพุด

นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการประสานกับ บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) ในการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบเขตประกอบการ พร้อมอุปกรณ์ตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยและป้ายแสดงผลนั้น

บริษัทฯ ได้ดำเนินงานโครงการพัฒนาการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการสาธารณสุขชุมชนโดยรอบเขตประกอบการอุตสาหกรรม โดยมีความคืบหน้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศักยภาพระบบเฝ้าระวังในสถานีตรวจวัดดังนี้ คือ การติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแล้วเสร็จ 4 สถานี คงเหลืออีก 1 สถานี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายเดือนมิถุนายน 2553 โดยทุกสถานีสามารถตรวจวัดสารมลพิษหลัก ได้แก่ SO2, Nox, และ PM10

การจัดหารถตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศ (1 คัน) และชุดตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่เร็ว (2 ชุด) บริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยรถตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศสามารถตรวจวัด SO2,Nox,O3, PM10,CO และสารอินทรีย์ระเหยในรูปของ NMHC และ BTEX ส่วนชุดตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบเคลื่อนที่เร็วสามารถวัด SO2, Nox, PM10 และ NMHC

การติดตั้งป้ายแสดงผล (Display board) ในสถานที่สาธารณะจำนวน 2 จุด และมีแผนจะติดตั้งอีก 1 จุด ซึ่งอยู่ระหว่างการกำหนดสถานที่ที่เหมาะสม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนส.ค.53 ส่วนการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทฯ ได้จัดทำข้อมูลสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนม.ค.53

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม จะกำกับดูแลการดำเนินงานของบมจ.ไออาร์พีซี ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานต่อไป

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โอเคเนชั่น ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ เวบบล็อกฟรี แต่เป็นสื่อมวลชนด้วย

โอเคเนชั่น ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ เวบบล็อกฟรี แต่เป็นสื่อมวลชนด้วย
ข้อมูลมากมายที่กลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น มาบตาพุด นำเสนอไว้มีอยู่จำนวนมาก
เข้าใจว่า ย่อมกระทบต่อ ภาคโรงงาน ภาคอุตสาหกรรม ที่ดำเนินการโครงการเสี่ยง
เข้าใจเรื่อง สื่อกับค่าจ้างโฆษณา
มีผู้คนค้นหา ข้อมูลของกลุ่มฯ แล้วไม่สามารถติดตามข้อมูลได้
ยังหวังว่า OKNATION จะเปิดให้ใช้เวบบล็อกตามเดิมได้
เพราะข้อมูล-ข่าวสารนี้ ประชาชนที่สนใจ จะไดเข้าถึงได้