วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

รายงานเท็จ - คำชี้แจงแจ้งเท็จ-ปกปิดข้อมูล การสร้างมหันตภัยใหญ่หลวง ของภาคอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพิ่งเกิด เฉพาะที่ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่น

2 ตัวอย่าง มหันตภัยด้านล่างนี้ เป็นข้ออ้างอิงให้เห็นประจักษ์ว่า เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ยากที่จะควบคุม จนสร้างความเสียหายใหญ่ ในกรณีโรงแยกก๊าซใหม่ ปตท. เองที่ชี้แจงต่อสาธารณะด้วยการชี้แจงแจ้งเท็จ ทั้งยังนำให้อัยการมานำเสนอศาล ว่าได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้วอย่างต่อเนื่อง และมีขบวนการตรวจสอบอย่างดีหลังจากการก่อสร้างนั้น แท้ที่จริงไม่มี รวมทั้งกรณีที่อ้างว่าได้ตรวจสอบกับทางกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่นแล้ว ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด และกรณีที่ทางกลุ่มฯ เสนอให้มีการตรวจสอบ 10 ปีหรือตลอดอายุการใช้งานนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะทางกลุ่ม เสนอให้ตั้ง คณะกรรมการที่มาจาก 3 ส่วนงาน คือ 1. ปตท. 2. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 3. กรรมการส่วนที่กลุ่มฯ นำเสนอ ซึ่งเป็นวิศวกรโยธาที่ร่วมในการก่อสร้างฐานรากโรงแยกก๊าซใหม่ ทั้ง 2 แห่ง ทั้งกำหนดกรอบการตรวจสอบร่วม 3 ฝ่าย แค่ระยะต้นและระยะกลางเท่านั้น คือ 3 ปี แต่ในระยะต่อไป ปตท. กับ การนิคมอุตสาหกรรม ต้องร่วมกันตรวจสอบต่อ ตามกรอบการตรวจสอบ-ซ่อมสร้างที่ร่วมทำกันไว้ ระยะเวลา 10 ปี หรือตลอกอายุการใช้งาน การที่อ้างว่าทางกลุ่มฯ หาผลประโยชน์ โดยเสนอค่าตอบแทนคณะกรรมการเป็นอัตราเงินเดือน เทียบเท่าทั่วไปกับพนักงาน ปตท. นั้น เพราะวิศวกรโยธาที่จะนำมาร่วมตรวจสอบ ยังคงทำงานอยู่กับ บริษัทอิตาเลี่ยนไทย และโรงงานที่ระบุ ขอให้ตรวจสอบ-เสริมสร้างความแข็งแรง มี 3 โครงการซึ่งมีฐานรากจำนวนหลายพัน ซึ่งในส่วนบุคลากรเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่ต้องตรวจสอบด้วย ซึ่งกรอบคณะกรรมการ ทำเพื่อเป็นตุ๊กตา เพื่อให้ทั้ง 3 ฝ่ายได้ร่วมการพิจารณาจะปรับหรือขยับอย่างไร แต่ทาง คณะกรรมการตรวจสอบที่ ส่วนธุรกิจก๊าซ ของ ปตท. ตั้งขึ้นไม่มาร่วมประชุม ตามการร้องขอ และจะดันทุรังเดินหน้า ทดสอบระบบโรงแยกก๊าซอีเทนต่อไป ขบวนการตรวจสอบจึงไม่มีการดำเนินการฯ และสุดท้ายนำมาเสนอฟ้องศาลปกครอง

....

คำชี้แจงแจ้งเท็จ-ปกปิดข้อมูล การสร้างมหันตภัยใหญ่หลวงของภาคอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพิ่งเกิด และเกิดบ่อยๆ เช่นกรณี ปตท.สผ. ก้อเป็นแบบนั้น - ชัดเจนถึงความประมาทมักง่าย ไร้ความรับผิดชอบ โดยอ่านจากข้อตำหนิต่างๆ จาก ประเทศที่ได้รับผลกระทบ แม้กรณีนี้ คนไทย ไม่ได้การรับรู้ เพราะสื่อมวลชนไทย ปกปิดข่าวกันหมด

กระทรวงทรัพยากรและพลังงานของออสเตรเลีย ออกมาเปิดเผยรายงานของคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์มอนทารา (Montara Commission of Inquiry’s Final Report and Findings) กรณีเกิดเหตุระเบิดที่แท่นขุดเจาะน้ำมันในแหล่งมอนทารา ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งบริษัท พีทีทีอีพี ออสตราเลเซีย (พีทีทีอีพี เอเอ) บริษัทในเครือบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้รับสัมปทาน

สรุปว่า "สาเหตุทางตรง" ของเหตุการณ์นี้ คือ ความไม่แข็งแรง และต่ำกว่ามาตรฐานที่ ปตท. กำหนดขึ้นเองอีกด้วย

1. การติดตั้งฉนวนซีเมนต์ ที่บ่อผิดพลาดในเดือนมีนาคม 2009 (หลังจากที่ ปตท.สผ. เข้าซื้อกิจการแล้ว) ส่งผลให้ฉนวนดังกล่าวด้อยประสิทธิภาพในการป้องกันเหตุระเบิด

2. ความล้มเหลวของ พีทีทีอีพี เอเอ และแอตลัส (บริษัทผู้รับจ้างบริหารบ่อน้ำมันนี้) ที่ไม่ได้ตระหนักว่าฉนวนมีปัญหา และไม่ได้ทดสอบฉนวนอย่างที่ควรทำ โดยพีทีทีอีพี เอเอ เป็นฝ่ายผิดมากกว่าแอตลัส เนื่องจากเป็นผู้ควบคุมบ่อโดยตรงตามข้อตกลง ความล้มเหลวเหล่านี้ไม่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล อีกทั้งยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้างบ่อน้ำมันที่พีทีทีอีพี เอเอ เป็นผู้กำหนดเองอีกด้วย

การสืบสวนของ พีทีทีอีพี เอเอ เอง ในการหาสาเหตุของเหตุระเบิดก็ "บกพร่องอย่างชัดแจ้ง" จนถึงระดับที่ "ไร้ความรับผิดชอบและให้อภัยไม่ได้" อีกทั้งยัง "ทำให้ผู้กำกับดูแลเข้าใจผิดอย่างมหันต์" ตลอดระยะเวลา 6 เดือน และเมื่อบริษัทได้รับข้อมูลที่บ่งชี้ความไม่แข็งแรงของบ่อหลังเกิดเหตุแล้วก็ไม่ได้ส่งข้อมูลนั้นต่อให้กับผู้กำกับดูแล พฤติกรรมเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัททำตัวแย่มาก ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าบริษัทจงใจส่งข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดแก่ผู้กำกับดูแล ยิ่งไปกว่านั้น คณะกรรมการยังพบหลักฐานว่าบริษัทพร้อมที่จะให้ข้อมูลก็ต่อเมื่อข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ต่อบริษัท และปิดบังข้อมูลด้วยเหตุผลเดียวกัน

เทปโก้สารภาพ "กุรายงานเท็จ" ผลซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์20 มีนาคม 2554 16:03 น.
สภาพความเสียหายของอาคารเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ที่เกิดระเบิดและเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้
เอเอฟพี - โตเกียว อิเล็กทริค เพาเวอร์ โค (เทปโก้) ออกมายอมรับว่า เคยกุรายงานผลซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวเพียงไม่กี่วัน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โรงไฟฟ้าได้รับความเสียหายรุนแรงจากเหตุธรณีพิบัติ การเผยความจริงครั้งนี้ก่อให้เกิดคำถามมากมาย ทั้งเรื่องประวัติเสื่อมเสียของ เทปโก้ และข้อบังคับสำหรับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นที่ถูกมองว่าหละหลวมเกินไป เทปโก้ ได้ส่งรายงานถึงสำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์ญี่ปุ่นประมาณ 10 วันก่อนเกิดแผ่นดินไหว โดยยอมรับว่า ไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ 33 ชิ้นภายในเตาปฏิกรณ์ทั้ง 6 แห่ง แผงไฟฟ้าสำหรับแจกจ่ายกระแสไฟไปยังวาล์วควบคุมอุณหภูมิเตาปฏิกรณ์ ไม่ได้รับการตรวจสภาพมานานถึง 11 ปี นอกจากนี้ผู้ตรวจสอบยังเคยกุรายงานเท็จ โดยระบุผลตรวจสภาพอย่างละเอียด ทั้งที่ความจริงทำอย่างผิวเผินเท่านั้น เทปโก้ ยอมรับด้วยว่า ไม่ได้ตรวจสภาพอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบหล่อเย็น เช่น มอเตอร์สูบน้ำ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองแบบดีเซล รายงานดังกล่าวถูกเปิดเผย หลังจากที่สำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์สั่งให้ เทปโก้ กลับไปตรวจสอบว่าการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าเป็นไปโดยละเอียดรัดกุมหรือไม่ ซึ่งหลังจากได้รับรายงาน ทางสำนักงานก็สั่งให้ เทปโก้ ร่างแผนแก้ไขให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 2 มิถุนายน
รถดับเพลิงกำลังฉีดน้ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ของโรงไฟฟ้า ฟูกูชิมะ ไดอิจิ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม
แต่หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 นอกชายฝั่งญี่ปุ่น ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เชื่อมกับระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์เสียหายอย่างหนัก เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า “เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อบกพร่องในรายงานเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดเหตการณ์ต่างๆ ซึ่งนำมาสู่วิกฤตนิวเคลียร์ในขณะนี้” “เราจะต้องตรวจสอบการทำงานของ เทปโก้ ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งเกิดวิกฤตครั้งนี้โดยละเอียด แต่เวลานี้จะต้องควบคุมสถานการณ์ในโรงไฟฟ้าให้ได้เสียก่อน” เจ้าหน้าที่ดับเพลิง, ตำรวจ และทหาร กำลังพยายามฉีดน้ำหล่อเตาปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิแท่งเชื้อเพลิงสูงขึ้น และพยายามเชื่อมกระแสไฟให้ระบบหล่อเย็นกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เทปโก้ ยอมเปิดเผยรายงานดังกล่าว หลังมีการตรวจพบสัญญาณความละเลยที่โรงไฟฟ้า คาชิวาซากิ คาริวะ ซึ่งเคยประสบปัญหาลักษณะเดียวกันจากแผ่นดินไหวปี 2007 และมีปริมาณรังสีแพร่กระจายสูงกว่าที่ เทปโก้ ยอมรับ “พวกเขายอมรายงานความจริง เพราะกลัวว่าจะเดือดร้อนถ้าไม่ทำเช่นนั้น” เจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์อีกคนหนึ่ง กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น