วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ชุมชนรอบมาบตาพุดหวั่น รง.เก็บสารเคมีระเบิดหาก พนง.ทิ้งงานหลังค้างจ่ายเงินเดือน
วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554
อภิสิทธิ์ อ้างแก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ (แต่ปล่อยให้ผู้คนเสี่ยงตายกันไป )
'อภิสิทธิ์' ขึ้นเวทีปราศรัย สนามกีฬาจังหวัดระยอง กลางดึก ประกาศถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ราคาผลไม้จะดีขึ้น ยืนยันไม่ละเลยปัญหาของแพง...
เมื่อเวลา 21.50 น. วันที่ 11 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางไปยังสนามกีฬาจังหวัดระยอง เพื่อขึ้นปราศรัยใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.ภาคตะวันออก โดยมีประชาชน ประมาณ 3,000 คน มารอฟังการปราศรัย ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ย้ำถึงนโยบายเพื่อประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ แนวทางการแก้ปัญหาของพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตินิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของรัฐบาลที่ผ่านมาที่สามารถหาความสมดุลให้กับภาคอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ความปรองดองที่ต้องการอยู่ในทุกวันนี้ ต้องมาดูจากการแก้ปัญหาของมาบตาพุดเป็นตัวอย่าง”
การอ้างว่า แก้ปัญหามาบตาพุดสำเร็จ แต่ปล่อยให้ผู้คนเสี่ยงตายกันไป แบบนี้มั้ย ทำไมบอกว่า "นายกอภิสิทธิ์เลือดเย็น"
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554
โรงงานสารเคมีอันตราย ถ้าถูกปล่อยทิ้ง ระเบิดเองได้
วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เปลือย 13 อรหันต์“มาบตาพุด”อุ้มโรงงาน-แจกมรณะบัตรชุมชน!?
หลังรัฐบาล “มาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ใช้คณะกรรมการ 4 ฝ่าย ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี คลี่คลายปัญหา 76 โครงการยักษ์ในมาบตาพุด ที่ถูกศาลปกครองสั่งระงับ จนคลี่คลายความร้อนแรงลง พร้อม ๆ กับการนำเอาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 67 วรรค 2 มาเป็นแนวปฏิบัติ ตามที่มีการระบุไว้ชัดเจนว่า “การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้เว้นแต่จะได้ศึกษา และประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว” และนำมาซึ่งการจรดปากกาลงนามจัดตั้งองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (ชั่วคราว) ประกอบด้วย ผู้แทนขององค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพและสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ หรือด้านสุขภาพจำนวน 13 คน ทำหน้าที่ให้ความเห็นประกอบโครงการ หรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามมาตรา 67 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยมีนายวีรวัธน์ ธีรประสาธน์ ผู้แทนจากมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ เป็นประธานกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ค่าตอบแทนคนละ 45,000 บาท พร้อมยังให้มีผู้ช่วยอีก 13 คน ได้ค่าตอบแทนคนละ 20,000 บาท เป็น 13 อรหันต์ทองคำ ที่ได้รับการคาดหวังว่า จะทำหน้าที่เป็น “ผนังเหล็ก กำแพงทองแดง” ให้แก่ชุมชนมาบตาพุด ทำให้พวกเขาอยู่ใต้ปล่องควันโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่รัฐไทยทุกยุคทุกสมัย ใช้เป็นเครื่องมือปั้นตัวเลข GDP ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ | |||||
ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง แม้จะมีรายงานว่าผลผลิตมวลรวมต่อหัวของชาวระยอง สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่รายงาน UNDP พ.ศ.2550 กลับระบุว่า รายได้ของชาวระยองแท้จริงอยู่ในระดับปานกลาง ครอบครัวและชุมชน รวมถึงการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนมีศักยภาพต่ำ ภาษีที่กลับคืนสู่สังคมในจังหวัดระยอง น้อยมาก เพราะโรงงานอุตสาหกรรมส่วนมากที่เปิดทำการอยู่ในพื้นที่ระยอง จดทะเบียนที่กรุงเทพฯ และบางส่วนได้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจากจาก BOI ทำให้ภาษีกลับคืนสู่ระยอง มีไม่ถึง 1% ที่จะนำมาลงทุนในด้านสังคมให้ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่า “องค์การอิสระฯ” ที่ตั้งขึ้นมานั้นกำลังทำให้กับคนมาบตาพุด ต้องหวนกลับไปผจญกับปัญหามลภาวะ ผลกระทบต่อชีวิต และสุขภาพของชุมชน เหมือนกับที่พวกเขาต้องเผชิญมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาอีก เพราะเกือบ 1 ปี ที่องค์การอิสระฯแห่งความคาดหวังก่อกำเนิดขึ้น มาถึงวันนี้...13 อรหันต์ทองคำแห่งมาบตาพุด กำลังถูกตั้งคำถามถึงมาตรฐานในการทำงาน มาตรฐานในความเป็นมืออาชีพ ฯลฯ โดยเฉพาะ“โครงการเอทธิลีน ไกลคอน” ซึ่งเป็นโรงงานปิโตรเคมีในพื้นที่มาบตาพุด ที่ได้รับตราประทับรับรองจากองค์การอิสระฯ ผ่านไปยังคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) กำลังถูกมองด้วยความเคลือบแคลงจากคนมาบตาพุด รวมทั้งคนระยองทั้งจังหวัด ตลอดจนนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ว่า “องค์การอิสระฯ ที่เชื่อว่า จะเป็นอรหันต์ทองคำให้คนมาบตาพุด ให้การรับรองโครงการนี้แบบค้านสายตาสุดขั้ว” ความเป็นจริงแล้วองค์การอิสระฯ ควรจะต้องออกไปหาข้อมูลรายละเอียดโครงการ และสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งหาข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากทุกภาคส่วน และจัดทำหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพียงพอ ในการให้ความเห็นก่อนที่โครงการจะถูกส่งเข้ามา และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกความเห็นนำไปสู่การตัดสินใจอย่างรอบคอบ ที่สำคัญองค์การอิสระฯเกิดขึ้นได้ เพราะเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกและชาวมาบตาพุด ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ถ้าไม่ทำหน้าที่คุ้มครองปกป้องเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งสิทธิของชาวมาบตาพุด ก็สมควรลาออกทั้งชุด “ทุกวันนี้ องค์การอิสระฯแห่งนี้ มุ่งแต่จะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาโครงการต่าง ๆ แทนตัวเอง และเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าตอบแทบให้อนุกรรมการเป็นรายเดือนเหมือนกับตัวเองอีก และที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่เคยลงพื้นที่และสัมผัสกับประชาชนในมาบตาพุดอย่างจริงจังเลย” นายสุทธิ อัชฌาสัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก บอกกับ “ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์” ไม่เพียงเท่านั้น ว่ากันว่า คณะกรรมการองค์การอิสระฯ ยังใช้ช่องทางตั้งผู้ช่วยขึ้นมารับเงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือน โดยบางคนแทบไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยย่างกรายเข้ามาทำงานในสำนักงาน ไม่เคยมีประวัติที่ตรวจสอบได้ถึงความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมใด ๆ หรือไม่มีความรู้เรื่อง ขีดความสามารถในการรองเรื่องสิ่งแวดล้อม(Carrying Capacity) ที่สัมพันธ์กับสุขภาพของประชาชนหรือไม่ “ผู้ช่วยคณะกรรมการฯ กลายเป็นคณะผู้ติดตามไปหมด เราจึงอยากให้ สตง.เข้ามาสอบสวนด้วย” นายสุทธิ ย้ำ แต่องค์การอิสระฯดังกล่าว กลับสามารถให้การรับรองโครงการ หรือให้ใบเบิกทางในการก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตคนมาบตาพุด และเป็นใบเบิกทางให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้ามาลงทุนในมาบตาพุด ล่าสุดเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ... คราวนี้พวกเขามุ่งเป้าเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่ง “รื้อ” องค์การอิสระ (ชั่วคราว) แห่งนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะตั้งโต๊ะแจกจ่ายใบประทับรับรองคุณภาพให้อุตสาหกรรมอันตราย ที่สุ่มเสี่ยงจะกลายเป็น “ใบมรณะบัตร” สำหรับชุมชนมาบตาพุดในอนาคต |