เรือบรรทุก ก๊าซแอลพีจี กับโรงแยกก๊าซ ปตท. ที่ยังเปิดใช้ไม่ได้ และการพยุงราคาก๊าซในประเทศ
อภิสิทธิ์ "ผู้ที่รู้ทุกเรื่อง-พูดได้ทุกเรื่อง"
นายกฯ อภิสิทธิ์นี่เก่งนะ พูดได้ทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง แต่ทำไม่ได้เรื่องซักเรื่อง สมแล้วละที่ "สำนักข่าวต่างประเทศ" เขาฟันธงถึงผลงานในรอบปีว่า "ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน" ก็ปัญหามาบตาพุดเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนถึงฐานรากประเทศ
เป็นนายกฯ...แล้วพาวเวอร์นำชาติของนายกฯ อยู่ไหน มันต้องสร้างความชัดเจนเป็นทางปฏิบัติ-เป็นทางออก "ภายใต้กรอบเวลา" ให้ภาคเศรษฐกิจและสังคมเขายึดเป็นทิศทางให้ได้? ไม่ใช่ตั้งคณะกรรมการ ๔ ฝ่ายขึ้นมาแล้วก็ถือว่า "ภาระของนายกฯ จบแล้ว" นักข่าวถามอะไรทีก็ถนัดตอบแต่ว่า "รอเขารายงาน" เวลาก็ผ่านไปวันๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน การเมืองน่ะรอได้ ยิ่งยืดเป็นหนังสติ๊กกูยิ่งชอบ จะได้อยู่ในตำแหน่งนานๆ มีเงินหลวงให้ผลาญฟรี แต่ธุรกิจการค้า-การลงทุน เขารอโดยไม่มีทิศทางชัดเจนไม่ไหวหรอกครับ เพราะเขามีต้นทุนต้องบริหาร มีต้น-มีดอก มีการแข่งขัน และภาคแรงงานเขาก็ต้องมีปาก มีท้อง มีครอบครัว ต้องหาเงินจากการทำงานมาเลี้ยงดู ในเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐปล่อยให้เวลากินตัวไปวันๆ กับปัญหามาบตาพุด โดยไม่แสดงความกระตือรือร้นในการแก้ไขให้เกิดเป็นรูปธรรม เราจะสังเกตเห็นว่า "ปริศนาแทรกซ้อน" เริ่มมาแล้ว..มาแบบ "ปัญหาน่าฉงน" เกิดขึ้นในพื้นที่แทบจะรายวัน?! ปัญหาหลักก็ยัง "ตั้งหลัก" กันไม่ได้ ปัญหาขี้หมูรา-ขี้หมาแห้งก็ปะทุเป็นรายวัน แล้วฝ่ายรัฐก็บริหารปัญหาแบบ "ลิงแก้แห" ไปวันๆ พูดกันตรงๆ รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงของท่านนายกฯ น่ะ ๗๐-๘๐% เลือกเอาวิธี "จับฉลาก" ผมว่าเผลอๆ ยังจะฟลุคได้คนมีกึ๋นสมตำแหน่งมากกว่าที่จับกันมายัดอยู่ขณะนี้ซะอีก อย่างกระทรวงอุตสาหกรรม "นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง" งี้ กระทรวงคมนาคม "นายโสภณ ซารัมย์" งี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม "นายสุวิทย์ คุณกิตติ" งี้ กระทรวงพาณิชย์ "นางพรทิวา นาคาสัย" งี้! พูดได้คำเดียวว่า "เวรกรรมคนไทย" และสมน้ำหน้าแล้วที่บริโภคนักการเมืองกันแบบไม่จำชื่อ-ไม่สนใจประวัติอันเป็นปูมหลังกันเลย!! ผมอยากจะถามท่านนายกฯ ในเชิง "ฝากให้คิด" ว่า ในขณะที่ข่าวสร้างภาพให้ "อุตสาหกรรมมาบตาพุด" เป็นผู้ร้ายถูกปล่อยผ่านสื่อออกมาทุกวัน และกระหน่ำซ้ำด้วยข่าวถอนการลงทุน-ปิดโรงงาน-ลอยแพคนงาน ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และธุรกิจการเงินไทย "วิบัติแน่" แพร่ภาพ-แพร่ข่าวยัดใส่สมองชาวบ้านทุกวัน แล้วมีมั้ยที่ "ข่าวสาร" อันเป็นเนื้องานคืบหน้าของการแก้ปัญหาไปสู่บทจบจากภาครัฐ ที่ฝ่ายรัฐจะตั้งโต๊ะแจกแจงเป็นข่าวให้ชาวบ้านได้รู้เป็นรายวันว่า เรื่องไปถึงไหน แนวโน้มของทางออกจะไปทางไหน และจะจบแบบไหน เมื่อไหร่กัน เพื่อให้สังคมเขาได้ยึดเป็นทิศนำทางบ้าง? ไม่มีเลย รัฐมนตรีคุมสื่อ "นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย" แกก็จมหนองอยู่ในกอเตยจนมิดหัว ดูๆ ไปแล้วพวกประชาธิปัตย์นี่ สมแล้วที่เป็นนักการเมือง เพราะถนัดอยู่เรื่องเดียว คือ...เรื่องพูดการเมือง! เอาละครับ...มาต่อ "คำต่อคำของอำมาตย์ ๑๐๐% ชื่อ ดร.สุเมธ" จากที่ค้างไว้แต่วานนี้ให้จบดีกว่า แล้ววันต่อไปจะได้มาตั้งต้นคุยกันใหม่ เพราะเมืองไทยเพื่อปัจจุบันและอนาคต มันมีอะไรให้พูด-ให้ทำมากกว่าเป็น "ควายจมปลัก" อยู่กับเรื่องทักษิณ-เสื้อเหลือง-เสื้อแดง-ฮุน เซน ก็ดูซี ๑ ปีผ่านไป อภิสิทธิ์ยังเกิดไม่ได้เต็มตัวเลย แต่เพียงไม่ถึงเดือนดี "สิมารักษ์-ศิวรักษ์" ทักษิณภาพยนตร์นำเสนอ "เกิดเต็มตัว" ไปแล้ว!! คำต่อคำของอำมาตย์ ๑๐๐% ชื่อ ดร.สุเมธ (ต่อ) "พระอารมณ์ขันและคำเตือน" "งานผมก็เคยถวายรายงานแล้วไม่ถูกพระทัย เพราะเราพลาด เราก็รู้ว่าเราต้องทำใหม่ มนุษย์คนไหนไม่พลาดเลยตลอดชีวิต คนนั้นบ้าแล้ว บางคนทำผิดเท่าไร ไม่เคยเห็นความผิดของตัวเอง คนแบบนี้พระพุทธเจ้าสอนว่า เป็นพวกบัวใต้น้ำ พระองค์ท่านทรงดุเพื่อไม่ให้เราผิดพลาดอีก" พระองค์ท่านเคยตรัสถามว่า จะอยู่ถึง 120 ปีด้วยกันมั้ย เราก็ตอบว่า ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็คง 108 ปี...ทรงมีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทรงมีการเตือนพวกเราตลอดเวลา ว่าอย่าให้ตัวเองอ้วนเกินไป ให้มีวินัยในการประพฤติตัว ปีที่แล้วเราอายุ 69 ปี ก็ขอพร ท่านตรัสว่า "ให้กินน้อยๆ" "ทรงเตือนว่า เป็นนักพัฒนาต้องแข็งแรง เพราะต้องออกเยี่ยมเยียนประชาชน อย่าตามใจปาก พออิ่มก็หยุดได้แล้ว" "ความทุกข์...ของพ่อ" "เรื่องความทุกข์ ท่านไม่ทุกข์ แต่ก็ธรรมดาถ้าลูกๆ ทะเลาะกัน พ่อ-แม่ก็ทุกข์...ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร ก็ลูกท่านทั้งนั้น ตามวิสัยพ่อ-แม่ รู้สึก Hurt ทั้งนั้น ถ้าลูกตีกัน ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ท่านก็ทรงห่วง" จะเห็นว่าเมื่อมีวิกฤติเป็นระยะๆ ท่านก็ทรงเตือนให้รักษาบ้าน รักษาเมือง ประเทศชาติเกิดอะไรก็ไปกันหมด ประเทศไม่สงบ ก็เดือดร้อนกันหมด ทรงเตือนให้มีสติ เอาสติกลับมา ทะเลาะกันก็เดือดร้อนกันทั้งคู่ "พระประมุขแห่งแผ่นดินเห็นอย่างนี้ ก็คงกลุ้มพระทัย แต่เราก็ไม่เคยทูลถาม แต่ก็สังเกตเห็น" หลายฝ่ายจะให้ท่านทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก พูดอย่างนั้นเป็นการพูดกันตามอำเภอใจ แต่พระองค์ทรงมีทศพิธราชธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ อวิโรธนะ คือทำผิดไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสม ถูกกฎหมายหรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าอย่างไร ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ บางทีก็ไม่รู้เรื่อง ตอนหนึ่งมีนักข่าวต่างชาติมาสัมภาษณ์ท่านเรื่องพฤษภาทมิฬ ท่านรับสั่งว่า ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีก็มี รัฐบาลก็อยู่ จะให้ท่านออกมาได้อย่างไร ถ้าท่านออกมาก็จะถูกหาว่าเข้าข้างรัฐบาลได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายควบคุมกันไม่ได้ แล้วมีคนตาย ท่านก็ออกมา ท่านจะทรงทำอะไร ไม่ทำอะไร เป็นเรื่องที่ยากมาก ท่านมีกรอบ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ท่าน พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน ไม่เหมือนเรา ใครด่า เราก็ด่าตอบ แต่ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ที่ไหน "ในหลวงเป็นนักบุญที่มีชีวิต" เรื่องที่วิจารณ์เปรียบเทียบกันว่า สถาบันของไทยไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่น ก็ใช่ ของเขาก็ของเขา ไม่เหมือนของเรา เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผมก็เคยพูดไปว่าไม่เหมือนกันระหว่างเมืองไทยกับประเทศอื่น ก็มีคนหาว่าผมเล่านิทานโกหก สถาบันของเราถวายคำว่ามหาราช ท่านก็ยังไม่รับ พระองค์ท่านเป็นนักบุญที่มีชีวิต ตลอด 63 ปี ท่านทรงงานตลอด ท่านทรงทำอะไรไม่ดีต่อแผ่นดินบ้าง พระองค์ท่านเหมือนพระ ท่านทำเพื่อทำ ท่านเคยตรัสว่า "ฉันใช้ระบบสังฆทาน ทำไปโดยไม่เจาะจงว่าเพื่อใคร" หาอย่างนี้ไม่ได้แล้ว เด็กรุ่นใหม่เขาอาจจะไม่เคยสัมผัส ทั้งๆ ที่สื่อก็ออกมามากมาย แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เพราะไปศึกษาในโลกตะวันตก ก็มีค่านิยมอีกแบบ ที่สุดก็ถูกครอบงำโดยตะวันตก จนลืมรากเหง้าตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็คิดเรื่องเงินตัวเดียว ทำงานก็เพื่อเงิน ต้องรวย คุณธรรมช่างหัวมัน ทัศนคติเด็กที่คิดเรื่องคอรัปชั่น บอกว่าขอให้สะดวกสบาย มีการบริการ ไม่แยกแยะ เรื่องดีเรื่องไม่ดี แหม...ต้องกราบขออภัยสักร้อยครั้ง กะแต่วานว่า "วันนี้จบแน่" แต่ก็ไม่จบ เพราะผมฉายหนังขายยาต้นม้วนยาวไปหน่อย มาดูอีกที อ้าว...ตายแล้ว ยาวเกือบ ๒ เท่าที่เคยเขียน ขืนลงไปก็ต้องถูกต่อว่า "ใครจะอ่านเห็น" เพราะตัวเท่ามดทารก ฉะนั้น อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้อีกวัน เป็นวันที่สาม "คำต่อคำ" ของอำมาตย์ ๑๐๐% จบสมบูรณ์แน่ๆ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น